‘เอ็มเฟค’ คิกออฟ ‘MFEC INSPIRE 2025’ ปลดล็อกลงทุนไอที ดึง ‘AI’ พลิกเกมองค์กร

MFEC ไขรหัสลงทุนไอที รับมือเศรษฐกิจผันผวน ชู 3 กลยุทธ์ Cost Optimization, Data & AI และ Cybersecurity ตอบโจทย์ความท้าทายธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล
KEY
POINTS
- MFEC INSPIRE 2025 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างแรงบันดาลใจให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย
- ชู 3 คีย์หลัก Data & AI, ไซเบอร์ซิเคียวริตี้, การบริหารต้นทุนไอทีอย่างมีประสิทธิภาพ
- สะท้อนภาพจริงของธุรกิจ ตอบโจท
ยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนทุกอุตสาหกรรม การลงทุนด้านไอทีที่ชาญฉลาดคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จํากัด (มหาชน) หรือ เอ็มเฟค (MFEC) แสดงวิสัยทัศน์
พร้อมเปิดมุมมองว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารต้นทุนด้านไอทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (Cost Optimization), การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
ขณะเดียวกัน มีความจำเป็นในการยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้นปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาแนวทางใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พร้อมเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันสำหรับอนาคต
‘ดาต้า’ ตัวเปลี่ยนเกม
ล่าสุด เอ็มเฟคได้จัดงาน MFEC Inspire 2025: Simplify Your IT Investment for a Future-Ready Business เปิดเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต และสร้างแรงบันดาลใจให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย
ครั้งนี้ได้เจาะลึกแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นใจ ทั้งแนวทางบริหารจัดการต้นทุนด้านไอที การประยุกต์ใช้ AI รวมถึงการยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์
ซีอีโอเอ็มเฟค กล่าวว่า 3 คีย์หลักที่นำเสนอคือ Data & AI, ไซเบอร์ซิเคียวริตี้, และการบริหารต้นทุนไอทีอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Optimization) เทรนด์เทคเทคโนโลยีปีนี้หนีไม่พ้น AI, และ Gen AI ที่แม้ทุกคนจะพูดถึง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างเต็มรูปแบบ
อีกทางหนึ่งมีข้อจำกัดเรื่องราคา ความซับซ้อน ผลสำเร็จไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งเส้นทางนี้หากต้องการสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นจริงจำเป็นต้องมี “Data Strategy” และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ไซเบอร์ ซิเคียวริตี้” องค์กรที่แข็งแกร่งต้องเริ่มต้นด้วยไอทีที่คุ้มค่าและปลอดภัย โดยปีนี้มี Game Changer คือ “ดาต้า”
สิ่งที่ต้องควบคู่กันไปสองอย่าง คือ การบริหารจัดการดาต้าและไซเบอร์ซิเคียวริตี้ หากทำได้เชื่อว่าบริษัทที่มีความพร้อมจะประสบความสำเร็จได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ฝ่าโจทย์หิน ‘ลงทุนไอที’
ส่วนของผลตอบแทนการลงทุน (ROI) จากการลงทุนไอที โดยเฉพาะจาก AI ที่พูดถึงกันมากขึ้น เอ็มเฟคมองว่า การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ ต้องนำยูสเคสการใช้งานจริงมาแบ่งปันกันและกัน
นอกจากนี้ หนึ่งในทางแก้อาจต้องผสมผสานการลงทุนทั้งแบบเสียเงินและโอเพนซอร์ส เรื่องนี้จำต้องสร้างความร่วมมือเพื่อช่วยกันและทำให้คอมมูนิตี้นักพัฒนาในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น วันนี้ต้องยอมรับว่าคอมมูนิตี้ไอทีในไทยยังช่วยเหลือกันน้อยมาก ทั้งยังไม่ค่อยมีองค์กรขนาดใหญ่ช่วยสนับสนุน
จากประสบการณ์พบว่า ตลาดไทยให้ความสนใจที่จะนำเครื่องมือ AI มาเป็นตัวช่วยหรือส่วนเสริมในการทำงานและสร้างรายได้ ไม่ได้นำมาทดแทนคนหรือทำงานที่มีความซ้ำซ้อน
ปัจจัยมักขึ้นอยู่กับความพร้อมอินฟราสตรักเจอร์ คน มายเซ็ต แต่ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าองค์กรที่พร้อมเปลี่ยนผ่านไปสู่ AI จริงๆ มีอยู่ไม่เกิน 20%
การเปลี่ยนผ่านต้องมีความเชื่อมั่น ความร่วมมือ การแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างกัน โดยมีโจทย์ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรถึงจะเข้ากับบริบทของธุรกิจ ไม่เช่นนั้นย่อมมีความเสี่ยง อาจใช้ต้นทุนที่มากกว่า เสียเวลามากกว่า ทว่าผลลัพธ์อาจน้อยกว่าอย่างมาก ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
เพิ่มทางเลือกที่ ‘ไม่ต้องแพงมาก’
หากถามว่าองค์กรไทยมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ต้องยอมรับว่าบางอุตสาหกรรมเป็นผู้นำเช่น การเงินการธนาคาร ทว่าบางอุตสาหกรรมยังล้าหลังโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง หรือพูดง่ายๆ คนที่มีเงินก็เดินหน้าต่อ คนที่ไม่มีก็ย่ำอยู่กับที่และทำให้แพ้หรือชนะกันได้แบบไม่เห็นฝุ่น
ปี 2568 นับเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีเท่าที่ควร ต่างถูกท้าทายด้วยสถานการณ์ที่กำไรและการเติบโตของธุรกิจไม่ได้สูงมาก ทว่าต้นทุนพุ่งสูงขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ที่สำคัญมาก คือ มายเซ็ตของผู้บริหารและพนักงานต้องไปด้วยกัน เพราะหากมีแนวทางที่ผิดยังไงก็สำเร็จได้ยาก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเรียนรู้ องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมให้ก้าวหน้าไปพร้อมกับ AI
งานครั้งนี้ทางเอ็มเฟคตั้งใจอย่างมากที่ทำให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งลูกค้าและพันธมิตรสามารถนำองค์ความรู้ที่ร่วมแบ่งปันต่อกันไปใช้ประโยชน์ พยายามทำให้มีความแตกต่างไม่ใช่เพียงงานอีเวนท์ขายของ เพิ่มทางเลือกที่ “ไม่ต้องแพงมาก” สะท้อนภาพจริงของธุรกิจ ตอบโจทย์ด้านการบริหารต้นทุน และสามารถใช้งานได้จริง
พร้อมกับย้ำว่า สิ่งสำคัญอย่างมาก คือ การแบ่งองค์ความรู้ต่อกัน เชื่อว่าหากระดับผู้นำเปลี่ยนจะมีอิทธิพลต่อตลาดไอทีโดยรวม เมื่อเกิดยูสเคสจะสามารถสร้างผลกระทบได้ในวงกว้าง
หวังด้วยว่างานครั้งนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ เพื่อปูทางไปสู่การสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมทั้งจากเอ็มเฟคเอง คู่ค้า พันธมิตร ลูกค้า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์ในแบบที่เป็นการชนะร่วมกันทุกฝ่าย
ปักธงเติบโตอย่าง ‘ยั่งยืน’
สำหรับเอ็มเฟค มีการปรับโฉมธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง การทำธุรกิจยุคใหม่จะทำแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วันนี้ลูกค้าไม่ได้มีสภาพคล่อง ความสามารถแข่งขันและเติบโตได้เหมือนในอดีต มองหาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ ประหยัด คุ้มค่าต่อการลงทุน ทำให้ซัพพลายเชนของเอ็มเฟคต้องเปลี่ยน จากเดิมเป็นการผลักภาระต้นทุนไปเรื่อยๆ ต่อกันเป็นทอดๆ กลายเป็นหาแนวทางและโซลูชันที่ให้ความคุ้มค่าและตอบโจทย์มากที่สุด
เป้าหมายบริษัท มุ่งสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาเติบโตได้ระดับ 15% ทุกปี เน้นลงทุนกับเรื่องของคนและเทคโนโลยี เชื่อว่าด้วยแนวทางนี้จะเป็นการปูทางไปสู่การสร้างโมเดลรายได้ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีกว่าเดิม
ด้านการบริการ ครอบคลุมและครบวงจรตั้งแต่ให้คำปรึกษา การออกแบบ อินฟราสตรักเจอร์ และบริการโซลูชัน ยอมรับว่าวันนี้การทำธุรกิจไอทียากขึ้น จำเป็นต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
วันนี้มีบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ จะก้าวหน้า ย่ำกับที่ หรือถอยหลังไปเรื่อยๆ ปัจจัยสำคัญมาจากเทคโนโลยี หากไม่ยอมเปลี่ยนหรือไม่ยอมลงทุนอะไรเลย ย่อมย่ำอยู่กับที่และมีโอกาสสูงมากที่จะถอยหลังก้าวตามคู่แข่งไม่ทัน