สอวช. ชู ระบบนิเวศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

สอวช. ชู ระบบนิเวศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

สอวช. สร้างระบบนิเวศขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในไทย สนับสนุนการเงิน ปลดล็อกกฎหมาย และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม มุ่งสู่คาร์บอนเป็นศูนย์ในกลุ่มประเทศเอเปค

กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า “กลไกความร่วมมือ โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม (วทน.) ในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในกลุ่มประเทศเอเปค”

แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเป็นส่วนสำคัญที่จะนำประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ที่จัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ในปีที่ผ่านมาว่า 

สอวช. ชู ระบบนิเวศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

ประเทศไทยจะไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 และในการประชุม COP27 ประจำปีนี้ ที่เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์

เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังได้มีการหารืออภิปรายเกี่ยวกับประเด็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) ความสูญเสีย (Loss) และความเสียหาย (Damage) ซึ่งในแง่ของการปรับตัว การนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้จะเป็นคำตอบในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตได้

แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy model) ที่ สอวช. เสนอให้เกิดเป็นนโยบายของประเทศ และรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ

ทำให้ในปัจจุบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านนี้ ส่วนของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทย จากมุมมองด้านนโยบาย มองว่าเราต้องการระบบนิเวศในการขับเคลื่อนและทำงานร่วมกัน 

โดยในปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบาย และข้อริเริ่มหลายโครงการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้พัฒนาจัดทำกรอบนโยบายนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน: วิสัยทัศน์ พ.ศ. 2573 (Circular Economy Innovation Ecosystem: Vision 2030)

นอกจากนี้ สอวช. ยังทำงานร่วมกับอีกหลายหน่วยงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนโครงการสร้างขีดความสามารถในการออกแบบหมุนเวียน (Circular Design) ผ่านหลักสูตร CIRCO จากประเทศเนเธอแลนด์ 

สอวช. ชู ระบบนิเวศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

เพื่อให้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการมีแนวทางในการนำเอาโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนไปใช้ในธุรกิจได้ ซึ่งที่ผ่านมาจัดหลักสูตรไปแล้วใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม มีบริษัทเข้าร่วมกว่า 100 แห่ง และในอนาคตมีแผนที่จะยกระดับโครงการนี้ให้กลุ่ม SME ได้เข้าร่วมมากขึ้น

โดยได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการส่งเสริมและช่วยเหลือกลุ่ม SME โดยตรงด้วย

สำหรับกลไกที่จะเข้าไปช่วยสนับสนุนการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนมีหลายส่วนด้วยกัน ในส่วนของการสนับสนุนเงินทุนวิจัย หลังจากตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ขึ้นมา ได้มีการจัดตั้งหน่วยบริหารและจัดการทุน (Program Management Unit: PMU) ขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยงานให้ทุนดูแลรับผิดชอบการให้ทุนในสาขาที่แตกต่างกัน 

ตัวอย่างการดำเนินงานของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จะมุ่งเน้นการจับคู่การให้ทุนร่วมกับบริษัทและหน่วยวิจัย

ทั้งมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัย โดยให้ความสำคัญกับการเข้าถึงตลาด หรือการนำผลงานวิจัยหรือเทคโนโลยีออกไปสู่เชิงพาณิชย์ได้

กลไกต่อมาคือเรื่องกฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ต้องมีการปลดล็อกให้สามารถดำเนินงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างราบรื่น มีการริเริ่มการทำแซนด์บ็อกซ์ขึ้นมา เพื่อเป็นโอกาสในการเชื่อมโยงประสานงาน กระตุ้นให้เกิดการทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ และร่วมกันแก้ปัญหา

แก้ไขข้อติดขัดในด้านกฎระเบียบที่เรากำลังเผชิญอยู่ อีกส่วนสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ประเทศไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้อง 

เช่น มาตรฐานการตรวจสอบคาร์บอน (Carbon Verification Standard: CVS) การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Trading) จึงยังต้องมีการสนับสนุนการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะในด้านนี้เพิ่มมากขึ้น

และกลไกสำคัญในส่วนสุดท้าย คือ หน่วยประสานงานกลาง (Intermediary) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน ซึ่ง สอวช. ได้ดำเนินงานในส่วนนี้มาอย่างต่อเนื่อง มีการจัด CE innovation policy forum ร่วมกับ Thai-SCP

จัดเวทีหารือในด้านนโยบาย แลกเปลี่ยนความเห็นและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม และยังนำไปสู่แนวทางการขับเคลื่อนงานในอนาคตร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป