สอวช. เร่งพัฒนากำลังคนด้านลดโลกร้อน 200 คน

สอวช. เร่งพัฒนากำลังคนด้านลดโลกร้อน 200 คน

สอวช. ตั้งเป้าพัฒนากำลังคน สู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกและความเป็นกลางทางคาร์บอน 200 คน ภายใน 5 ปี พร้อมพัฒนาหลักสูตรรองรับระดับนานาชาติ

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดรายการพูดคุยผ่านช่องทางออนไลน์ ในรายการ Future Talk by NXPO ครั้งที่ 11 ในประเด็น "การพัฒนากำลังคน ขับเคลื่อนประเทศไทย สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission" จากสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก 

เป้าหมายของประเทศไทย ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศในเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ว่าจะไปสู่เป้าหมายการทำให้ก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065

และจะทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศไทย โดยการพัฒนากำลังคนเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ โดยต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน

สอวช. เร่งพัฒนากำลังคนด้านลดโลกร้อน 200 คน

ภาคเอกชนโดยเฉพาะบริษัทและภาคอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนหรือมีบริษัทแม่อยู่ในต่างประเทศ มีความตระหนักและมีแนวทางการดำเนินงานในด้านนี้อยู่แล้ว เนื่องจากมีนโยบายในระดับโลกที่ชัดเจน ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ภาคเอกชนซึ่งเป็นบริษัทลูกในไทยตื่นตัว

โดยส่วนตัวอยู่ในอุตสาหกรรมและกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน และมีความเชื่อว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ จึงได้มีการริเริ่มจัดตั้งชมรม RE100 Thailand ขึ้นมา

ทั้งนี้ ได้ดึงบริษัท ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน ภาคนโยบาย มาทำงานร่วมกัน เพื่อส่งสัญญานว่าภาคเอกชนมีความตระหนักในด้านนี้แล้ว เป็นแนวทางให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้ว่าควรจะเดินหน้าต่ออย่างไร

ทั้งนี้ เมื่อต้องมีการเร่งให้หลายโครงการของแต่ละบริษัท สามารถไปขึ้นทะเบียนเพื่อตรวจสอบโครงการเหล่านั้นว่าเป็นโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วได้เครดิต จึงเป็นจุดที่ต้องหารือกันว่าจะพัฒนาบุคลากรของเราอย่างไร

สอวช. เร่งพัฒนากำลังคนด้านลดโลกร้อน 200 คน

เนื่องจากทุกวันนี้การขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ได้ใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาประเมิน ปัจจุบันต้องจ้างจากต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงต้องพูดคุยร่วมกันว่า รัฐบาลจะมีแนวทางในการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างไร เพื่อให้เกิดการส่งเสริมซึ่งกันและกันตลอดทั้งห่วงโซ่ ทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน และสามารถเร่งการไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้เร็วขึ้น

บพค. และ RE100 ได้มีการลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนากำลังคนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” เมื่อต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

เพื่อสร้างกำลังคนระดับสูงที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานสากล สนับสนุนการดำเนินงานด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในภาคเอกชน ซึ่งบุคลากรด้านนี้ขาดแคลนอย่างมาก โดยเป้าหมายภายใน 5 ปี ตั้งเป้าผลิตบุคลากรในด้านนี้ให้ได้ 200 คน และในปี 2565 จะเริ่มพัฒนาหลักสูตรที่รองรับความต้องการภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ตอบโจทย์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการยอมรับจากทั่วโลก 

ไทยยังมีช่องว่างที่จะพัฒนากำลังคน เพื่อมาสอดรับกับเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งต้องมองใน 3 ระดับ

  1. ในระดับพื้นฐาน (Baseline) ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจเรื่องก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด ทั้งในกลุ่มวัยที่จะต้องไปทำงาน หรือวัยเด็กที่ต้องเรียนรู้ เป็นกำลังสำคัญในอนาคต ทำอย่างไรให้เกิดการขยายผลองค์ความรู้ไปได้เร็วขึ้น ซึ่งภาครัฐ ภาคการศึกษา ก็ต้องเร่งพัฒนาหลักสูตร กลไกการเรียนการสอนด้วย
  2. การหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) ในภาคอุตสาหกรรม ภาคเมือง ภาคป่าไม้ และภาคเกษตร ที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งองคาพยพ
  3. ระดับนโยบาย ต้องดูว่าจะช่วยอะไรภาคเอกชนได้บ้าง และต้องมีแรงจูงใจเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้น 

ในส่วนของการขับเคลื่อน มองว่าไม่ใช่เรื่องของมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง จึงมีรูปแบบการทำงานแบบ Consortium ขึ้นมา ให้บางมหาวิทยาลัยเป็นตัวตั้งต้น แล้วร่วมบูรณาการกับเพื่อนมหาวิทยาลัย รวมถึงภาคเอกชนที่เป็นผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body : VVB) เข้ามาร่วมกันมองว่าควรจัดทำหลักสูตรอย่างไร ให้เห็นผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

และเพื่อให้ได้กำลังคนที่เพียงพอต่อการให้บริการภาคเอกชน หากมีกำลังคนเพียงพอ ก็จะสามารถแข่งขันได้ในเรื่องของการให้บริการ ซึ่งการที่ภาครัฐ ภาคการศึกษา บพค. และภาคเอกชน จับมือทำงานร่วมกัน ถือเป็นทิศทางที่ดีและชัดเจน เชื่อว่าภายใน 2 ปี เราจะได้หลักสูตรและสามารถผลิตกำลังคนรุ่นแรกได้ 20-30 คน