พาณิชย์ แนะผู้ประกอบการปรับตัวรองรับการจัดเก็บภาษีพลาสติก
สนค.เผย หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการเก็บภาษีพลาสติกผู้นำเข้า เพื่อลดปัญหา climate change โดยเฉพาะอียู ขณะที่สหรัฐตลาดส่งออกพลาสติกอันดับ 1 ของไทยเตรียมร่างกฎหมาย Reduce Act of 2021 ภาษีพลาสติก . แนะปรับตัวรองรับการจัดเก็บภาษีพลาสติก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศที่ส่งผลต่อการค้าของไทย พบว่า ตั้งแต่ปี 2564 มีประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มจัดเก็บภาษีพลาสติก เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change)
โดย“ภาษีพลาสติก” (Plastic Tax) หรือ “ภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก” (Plastic Packaging Tax: PPT) เป็นมาตรการภาษีที่เรียกเก็บเงินหรือค่าธรรมเนียมจากผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือประเทศสมาชิกที่ผลิต นำเข้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและย่อยสลายยาก ทั้งนี้ ไม่รวมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มาจากการรีไซเคิล การจัดเก็บภาษีพลาสติกจะทำให้ต้นทุนของบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือเลือกใช้สินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ซ้ำแทน ท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ปริมาณขยะพลาสติกลดลง ในขณะที่ภาครัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน มีประเทศที่จัดเก็บภาษีพลาสติกแล้ว ได้แก่ สหภาพยุโรปหรืออียู เริ่มจัดเก็บภาษีพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจ่ายภาษีให้กับสหภาพยุโรป ซึ่งคำนวณจากปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 0.8 ยูโรต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศสามารถออกมาตรการภาษีพลาสติกของตนเองแตกต่างกันออกไปได้ อาทิ อิตาลีและสเปนเก็บภาษีพลาสติกจากผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้ซื้อ ซัพพลายเออร์ และผู้นำเข้า ในอัตรา 0.45 ยูโรต่อกิโลกรัม
ขณะที่ โปรตุเกสจะเริ่มเก็บภาษีพลาสติกในอัตรา 0.30 ยูโรต่อกิโลกรัม ในปี 2566 สหราชอาณาจักรเริ่มเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 จากผู้ผลิตและผู้นำเข้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลน้อยกว่า 30% ในอัตรา 200 ปอนด์ต่อตัน และฟิลิปปินส์เพิ่งเห็นชอบกฎหมายภาษีถุงพลาสติก (Plastic Bags Tax Act) เมื่อเดือนพ.ย. 2565 ที่ผ่านมา และในปี 2569 ฟิลิปปินส์จะเริ่มจัดเก็บภาษีจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 100 เปโซฟิลิปปินส์ต่อกิโลกรัม ประมาณ 1.75 ดอลลาร์
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แม้ว่าตลาดสำคัญของไทยจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีพลาสติก แต่ในอนาคตมีแนวโน้มที่ตลาดเหล่านี้จะจัดเก็บภาษีพลาสติก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกอันดับ 1 ของไทย อยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมาย Reduce Act of 2021 ที่จะจัดเก็บภาษีพลาสติกที่ไม่มีส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลและบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 0.2 – 0.5 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ซึ่งย่อมส่งผลให้ผู้ส่งออกมีต้นสูงขึ้น
ดังนั้น ประเทศไทยต้องเตรียมการรองรับ ปรับตัว และแสวงหาโอกาสทางการตลาดในการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อาทิ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ การพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับและมาตรฐานบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล การส่งเสริมการส่งออกพลาสติกชีวภาพ และการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable business) เป็นต้น
ทั้งนี้ ปี 2564 ไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก ไปยังตลาดโลก มูลค่ารวม 140,772.17 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.07 % ของมูลการส่งออกรวม ขยายตัว 13.46 % สำหรับใน 11 เดือนแรกของปี 2565 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นมูลค่า 146,580.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 14.09 % โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรกได้แก่ สหรัฐฯ มีสัดส่วน 19.26 % ญี่ปุ่น 16. 74 % เวียดนาม 5.69 % ฟิลิปปินส์ 4.94 % และจีน 4.75 %