'ยูเอ็น' สานต่อความร่วมมือ องค์กรสื่อ พลิกโฉมไทยสู่สังคมเศรษฐกิจสีเขียว
5 มีนา วันนักข่าว 'สหประชาชาติ' เดินหน้า สานต่อความร่วมมือกับทางสมาคมนักข่าวฯ และสื่อสารมวลชน จับมือรัฐ เอกชน พลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมเศรษฐกิจสีเขียว สร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมต่อสังคม
Key point :
- การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ แรงสะเทือนทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 เงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงพอ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลก และการขาดแคลนอาหาร ส่งผลให้ประเทศมีคะแนนการพัฒนามนุษย์ต่ำลง
- การพลิกโฉมสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวของประเทศไทย จำต้องอาศัยแนวทางการระดมพลังทั่วทั้งรัฐบาลและทั่วทั้งสังคม ซึ่งคือการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ
- เนื่องใน 'วันนักข่าว' 5 มีนาคม 'สหประชาชาติ' เดินหน้า สานต่อความร่วมมือกับทางสมาคมฯ และสื่อสารมวลชน ในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมเศรษฐกิจสีเขียว เพราะสื่อมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมต่อสังคม
การเสื่อมถอยนี้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ แรงสะเทือนทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงพอ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลก และการขาดแคลนอาหาร ส่งผลให้เรากำลังถอยกลับไปสู่ระดับในปี 2016 ร้อยละ 90 ของประเทศ มีคะแนนการพัฒนามนุษย์ลดต่ำลง
ภายใต้สภาพการณ์ที่ท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ประเทศไทยยังสามารถดำรงไว้ซึ่งความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลากหลายข้อ ตั้งแต่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรม ไปจนถึงเป้าหมายความเท่าเทียมทางเพศ
อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์จากสหประชาชาติ พบว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งรัดความคืบหน้าในเป้าหมายอื่น ๆ ได้แก่ การปกป้องชีวิตบนบกและในน้ำ การลดความเหลื่อมล้ำ การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ขจัดการสูญเสียอาหาร และการสร้างและพัฒนาสถาบันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 5 มีนาคม "วันนักข่าว" กับคำถามถึงจริยธรรมสื่อไทยในปัจจุบัน
- ทำงานหนักจนตาย ฝ่ายสิทธิ์ฯสมาคมนักข่าว จี้ตรวจสอบช่องทีวีดิจิทัล
- วงเสวนาสื่อฯ สะท้อนภาพ "คนข่าว" ในอุดมคติ สวนทางกับ ความจริง-เน้นธุรกิจ
การพัฒนาที่ยั่งยืนกับทางรอดประเทศไทย
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 กีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ การพัฒนาที่ยั่งยืนกับทางรอดประเทศไทย (Sustainable development and the future of Thailand) ในงานครบรอบ 68 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่า สหประชาชาติ มีความประสงค์ที่จะสานต่อความร่วมมือกับทางสมาคมฯ และสื่อสารมวลชน ในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมเศรษฐกิจสีเขียว เพราะสื่อมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักในประเด็นทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มีผลกระทบต่อทุกคน
“ประเทศไทยมีความเข้มแข็งในภูมิทัศน์ทางสื่อ ซึ่งเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าไทยเป็นศูนย์กลางสำนักงานประจำภูมิภาคของสำนักข่าวต่างประเทศ รวมถึงองค์กรสื่อชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย นักข่าวมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อความเป็นปึกแผ่นสมานฉันท์ทางสังคม และต่อความครอบคลุมทางสังคม ทั้งในฐานะผู้สื่อสาร ผู้พิทักษ์ และขยายพื้นที่ประชาสังคม”
นอกจากนี้ สื่อยังมีบทบาทที่สำคัญในการเอื้ออำนวยให้ภาคประชาสังคมสามารถร่วมผลักดันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านการรายงานข่าวที่สมดุลเกี่ยวกับปัญหาในท้องถิ่น การสร้างความตระหนักในประเด็นที่มีความสำคัญต่อสังคม การส่งเสริมการแสดงความรับผิดชอบ และธรรมาภิบาล ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาเชื่อมั่นที่สาธารณชนมีต่อสื่อจึงสำคัญมาก และผู้สื่อข่าวสามารถเสริมสร้างความศรัทธาเชื่อมั่นในงานและวิชาชีพของตนด้วยการรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง มีความน่าเชื่อถือสูง และปราศจากอคติ
ลดการแบ่งฝ่าย จับมือสื่อ สร้างสังคมสีเขียว
กีต้า กล่าวต่อไปว่า ในสังคมที่แบ่งขั้วกันทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ เราต้องลดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย รวมถึง 'ข้อมูลเท็จ' และต้องร่วมมือกันสรรค์สร้างสาธารณประโยชน์เพื่อประโยชน์สุขของทุกคน โดยเชื่อว่าแนวทางนี้ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องให้ความสำคัญแก่การเปิดโปงสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้สังคมอ่อนแอแต่รวมถึงการให้ความสำคัญต่อความคืบหน้าในการพลิกโฉมสิ่งร้ายให้เป็นดี
“หนึ่งในพัฒนาการเชิงบวกมากมายเหล่านี้ คือ ความเป็นหุ้นส่วนภาคีความร่วมมือระหว่างสหประชาชาติและสื่อมวลชน ในประเทศไทยผ่านหน่วยงานต่างๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็น ยูเนสโก (UNESCO) ได้รณรงค์ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกและความปลอดภัยของนักข่าว หรือ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ร่วมมือกับสื่อ เพื่อส่งเสริมการรายงานข่าวเกี่ยวกับแรงงานย้ายถิ่นฐานที่ถูกต้องและสมดุล ที่ให้ความเคารพในสิทธิของผู้ย้ายถิ่นฐาน"
รวมถึง สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถของ นักข่าวหญิงในด้านสิทธิสตรีและความปลอดภัยในพื้นที่ดิจิทัล โดยเรามุ่งหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือกับสื่อให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะสื่อเป็นกุญแจสำคัญสู่ความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสีเขียว ผ่านการรายงานความท้าทายต่าง ๆ พร้อมทั้งแนวทางการแก้ปัญหาเหล่านั้น
ภาครัฐ-องค์กรธุรกิจ จับมือแก้ปัญหาโลกร้อน
ประเทศไทยมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะมีภาครัฐที่มองการณ์ไกลในการกำหนดวาระการพัฒนาและความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในกลางศตวรรษนี้ และได้ปรับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30 ให้ต่ำกว่าการปล่อยในกรณีปกติ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emission) ภายในปี 2060 เมื่อเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริงของประเทศไทยในปี 2030 จะต่ำกว่าในปี 2020
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนได้ร่วมดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ให้เกิดความคืบหน้าตามข้อตกลงของกลุ่มตน สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ซึ่งประกอบด้วยองค์กรธุรกิจชั้นนำ ได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างน้อย 8 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนถึง 1.6 ล้านคัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาชิก GCNT ประเทศไทยได้บรรลุข้อตกลงเป็นที่แรกของโลกในการร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งทางบกและทางทะเลในพื้นที่ร้อยละ 30 ทั่วประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ของสหประชาชาติ มาตรการตามข้อตกลงนี้รวมถึงการปลูกป่าเพื่อเพิ่มถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจชั้นนำต่าง ๆ มีความตระหนักสูงขึ้น ถึงความสำคัญของการรวมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ ธุรกิจต้องยืนหยัดในหลักการว่าการดำเนินธุรกิจใด ๆ ต้องไม่ก่อความเสียหายด้วยประการทั้งปวงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งบนบกและในน้ำ
“คำมั่นสัญญาทั้งหมดนี้ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของโลกยุคปัจจุบัน ที่หลายประเทศกำลังสูญเสียความคืบหน้าทางการพัฒนาที่ได้สร้างมาอย่างยากลำบาก นี่เป็นครั้งแรกในสามทศวรรษที่การพัฒนามนุษย์เกิดการถดถอยในระดับโลก โดยอ้างอิงจากดัชนีการพัฒนามนุษย์ของหน่วยงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งวัดจากมิติด้านสุขภาพ การศึกษา และมาตรฐานการดำรงชีวิตของผู้คนในประเทศ”
Climate Change กระทบการพัฒนามนุษย์
กีต้า กล่าวต่อไปว่า เรากำลังถอยกลับไปสู่ระดับในปี 2016 ร้อยละ 90 ของประเทศ มีคะแนนการพัฒนามนุษย์ลดต่ำลง การเสื่อมถอยนี้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ แรงสะเทือนทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงพอ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลก และการขาดแคลนอาหาร อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังสามารถดำรงไว้ซึ่งความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลากหลายข้อ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่ท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้
จากการประเมินของ ‘เอสแคป’ โดยอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูลจากรัฐบาล พบว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าที่เด่นชัดในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายข้อ ตั้งแต่เป้าหมายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรม ไปจนถึงเป้าหมายความเท่าเทียมทางเพศ
“อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ของเรายังพบอีกด้วยว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งรัดความคืบหน้าในเป้าหมายอื่น ๆ ได้แก่ การปกป้องชีวิตบนบกและในน้ำ การลดความเหลื่อมล้ำ การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ขจัดการสูญเสียอาหาร และการสร้างและพัฒนาสถาบันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”
ด้วยเหตุนี้ ทีมสหประชาชาติประจำประเทศไทยซึ่งประกอบด้วย 21 องค์การชำนาญพิเศษจึงได้ให้การสนับสนุนประเทศไทยผ่านกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNSDCF) ซึ่งกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เรามุ่งเน้นยุทธศาสตร์สามด้านหลัก ได้แก่
1. การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและคาร์บอนต่ำ
2. เสริมความเข้มแข็งของชุมชนและผู้คนทุกช่วงวัยผ่านการเร่งรัดสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล
3. การลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เพื่อเร่งสร้างความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ สหประชาชาติ ใช้ประโยชน์จากอำนาจในการชักจูง (convening power) ในการระดมและเชิญชวนนักธนาคาร นักลงทุน และผู้บริหารสินทรัพย์ให้ขยายเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม เรายังใช้ประโยชน์จากทรัพยากรจากศูนย์กลางในระดับภูมิภาคเพื่อนำแนวทางการแก้ปัญหาที่ล้ำสมัยและอิงหลักฐานเชิงประจักษ์มาแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น มลพิษทางอากาศและเรายังส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศบนพื้นฐานของหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
การพลิกโฉมสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวของประเทศไทย จำต้องอาศัยแนวทางการระดมพลังทั่วทั้งรัฐบาลและทั่วทั้งสังคม ซึ่งคือการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ สหประชาชาติและกระทรวงมหาดไทย จึงได้ร่วมกันจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัดที่กรุงเทพมหานครเมื่อปีที่แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะร่วมดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแลด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศตามจังหวัดต่าง ๆ
ความเป็นหุ้นส่วนนี้เริ่มผลิดอกออกผลให้เราได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโครงการคัดแยกขยะซึ่งจะได้รับการขยายผลครอบคลุม 12 ล้านครัวเรือนในไม่ช้า จากการตรวจสอบขององค์กรอิสระ พบว่า โครงการนี้จะช่วยให้กระทรวงมหาดไทย ลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากกว่า 530,000 ตันต่อปี คาร์บอนเครดิต ที่เพิ่งผ่านการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) นี้ จะช่วยให้หน่วยงานบริหารส่วนท้องถิ่นสามารถนำไปซื้อขายและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างเป็นรายได้เพิ่มเติมด้วย
ตัวอย่างความร่วมมือภาครัฐเอกชน
นอกจากนี้ ผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย ยังได้ยกตัวอย่าง 3 กรณีของความร่วมมือระหว่างเรากับภาครัฐและเอกชนในโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน เพื่อการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนี้
- ตัวอย่างแรก ภาคอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่ก่อมลพิษสูง
องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูนิโด) ได้ร่วมกับรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม เช่น การนำเศษโลหะใช้แล้วมาผ่านกระบวนการก่อนการหลอมเพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษ การใช้เตาเผาประหยัดพลังงานแบบรีเจนเนอร์เรทีฟ และการนำตัวทำละลายที่ดูดซับคาร์บอนมาใช้ในอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและเหล็กกล้า ขณะนี้ ได้มีการขยายผลการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ครอบคลุมร้อยละ 40 ของโรงงานอะลูมิเนียม และร้อยละ 70 ของโรงงานเหล็ก
- ตัวอย่างที่สอง ภาคการเกษตร
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และโครงการพัฒนาแห่ง สหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 300 แห่ง ในการใช้เทคโนโลยีต้นทุนต่ำเพื่อลดการสูญเสียอาหาร และปรับปรุงห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว ข้าวหมัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ การประมง และอุตสาหกรรมนม ด้วยการนำกระบวนการใหม่ ๆ และปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพแบบง่าย ๆ ธุรกิจเหล่านี้สมารถลดการสูญเสียอาหารลงได้ครึ่งหนึ่ง และเพิ่มผลตอบแทนได้มากกว่าร้อยละ 17
- ตัวอย่างที่สาม ภาคการท่องเที่ยว
โรงแรมขนาดใหญ่และขนาดกลางกว่า 1,000 แห่งตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศได้ลงนามในปฏิญญายูเนสโกเพื่อการเดินทางอย่างยั่งยืนว่าจะลดการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง กระทรวงมหาดไทย กำลังวัดคาร์บอนฟุตพรินท์ของผ้าทอพื้นบ้านไทยที่ผลิตโดยช่างทอสตรีเกือบ 2 ล้านคน และหาวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ทางออกหนึ่งคือการใช้สีย้อมธรรมชาติแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและขจัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแนวปฏิบัตินี้จะทำให้ผ้าพื้นบ้านไทยก้าวสู่เวทีโลก และเป็นหลักประกันให้สามารถแข่งขันกับผ้าจากประเทศอื่น ๆ
“คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยมีบทบาทในเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ และเราควรใช้ประโยชน์จากพลังจากทัศนคติที่ว่า “เราทำได้” ของคนหนุ่มสาวมาขับเคลื่อนการพลิกโฉมประเทศไทย เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เราต้องขยายโอกาสและสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะและให้ได้รับประโยชน์จากอาชีพ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
SDG Youth Panel
สหประชาชาติ ได้จัดตั้งคณะทำงานเยาวชนเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Youth Panel) เพื่อให้คำแนะนำแก่ดิฉันและหัวหน้าหน่วยงานของสหประชาชาติ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนในประเทศได้มีสิทธิ์มีเสียง ในกระบวนการตัดสินใจของเรา ที่ผ่านมา ได้เรียนรู้จากเยาวชนกลุ่มนี้ว่า คนหนุ่มสาวทั่วประเทศไทยหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายคนมีส่วนร่วมในโครงการระดับรากหญ้า ตั้งแต่การปรุงอาหารแจกผู้ยากไร้จากวัตถุดิบที่เหลือใช้ ไปจนถึงการรณรงค์ให้เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
“อย่างไรก็ตามหากเราต้องการให้เยาวชนมีบทบาทมากขึ้นในการผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย เราจำเป็นต้องรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักด้วยการสำรวจล่าสุดของนิด้าพบว่าคนไทยเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้นที่รู้จักเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความตระหนักในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนยิ่งต่ำกว่านั้นในกลุ่มเยาวชน ซึ่งอาจขัดกับความรู้สึกเนื่องจาก เยาวชนเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการรณรงค์ต้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ”
“นี่คือเหตุผลที่สื่อมวลชน คือ บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่ง งานของคุณ คือ กุญแจสำคัญในการนำแสงสว่างสู่ประเด็นด้านความยั่งยืน และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ ในคนทุกช่วงวัย ด้วยความช่วยเหลือจากสื่อ เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิทัศน์ทางสื่อที่เจริญเข้มแข็งของประเทศไทย เพื่อช่วยในการพลิกโฉมประเทศไทยให้เป็นสังคมสีเขียว คาร์บอนต่ำ ครอบคลุม และเป็นธรรม และเป็นประภาคารนำทางสู่ความยั่งยืนแก่ภูมิภาคและแก่เวทีที่สูงกว่านั้น สหประชาชาติยินดีที่จะสนับสนุนในเรื่องนี้ และองค์กรของเรายินดีต้อนรับเสมอ” ผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย
เสรีภาพสื่อ บนความรับผิดชอบ
ด้าน นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย กล่าวในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า ในปี 2566 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ จะยังคงยืนหยัดในหลัก 'เสรีภาพ' บนความรับผิดชอบ ด้วยการคุ้มครองดูแลสื่อมวลชนให้ทำหน้าที่อย่างเสรีแล้ว ต้องทำให้สังคมเห็นว่าการทำหน้าที่สื่อมวลชนนั้นมีความแตกต่างจากพลเมืองที่ใช้สื่อทั่วไปในการสื่อสาร โดยเน้นหนักการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เนื้อหาข่าว ความครบถ้วนรอบด้าน และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อให้สังคมได้ประโยชน์ต่อข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงทุกเพศทุกวัย
นอกจากนี้จะมีการปรับแผนงานฝ่ายต่างประเทศ และการปรับปรุงทำเนียบสมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ พร้อมเตรียมหารือนำเสนอแนวทางดูแลสมาชิกในเรื่องสวัสดิการใหม่ๆ
ส่วนการทำหน้าที่เพื่อสังคมจะต้องยืนหยัดแนวทางการทำงานที่ของสื่อมวลชน ในการรักษาข้อมูลข้อเท็จจริงให้แก่สังคม ท่ามกลางสังคมข้อมูลหลอก ข้อมูลลวงบนโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลสื่อมวลชนให้ได้รับสิทธิ 'เสรีภาพ' ในการทำหน้าที่ด้วย
“สำหรับผมแล้วต้องการให้สังคมได้รับรู้ว่า สื่อกระแสหลักไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มใดๆ แต่ถ้าเป็นคนข่าวที่ทำหน้าที่บนความรับผิดชอบต่อสังคม ในการยึดหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน และทำข่าวโดยรอบด้านด้วยความเป็นธรรมแล้ว ไม่ว่าอนาคตแพลตฟอร์มการนำเสนอข่าวจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร หากสามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่กล่าวมานั้นก็ถือเป็นสื่อกระแสหลักทั้งสิ้น” นายมงคล กล่าว