เส้นทางสู่ความยั่งยืน: ทำจริง ไม่ง่ายอย่างที่คิด
การสัมมนา EARTH JUMP 2023: New Frontier of Growth โดยธนาคารกสิกรไทยที่ผ่านมา มีการนำเสนอแผนการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนจากหลายภาคส่วน ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผม อยากแชร์ความคิดเห็นในเรื่องของโอกาสและการก้าวต่อไปของประเทศไทย
• เป็นที่แน่ชัดว่าภาคการเงินต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย
ไทยถือเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานด้าน supply chain
ส่งผลไปจนถึงความล้มเหลวของบริษัทต่างๆ ในการทำตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับพรมแดนคาร์บอน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanisms) ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา
Swiss Re ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกทำนายว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจลด GDP ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงได้ถึง 29% ภายในปี พ.ศ. 2593
ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เช่น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการขาดแคลนทรัพยากรจำเป็นต้องได้รับการจัดการและบรรเทา และจำเป็นต้องมีการระดมทุนเพื่อช่วยให้ทั้งบริษัทและครัวเรือนสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้
การเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนมากขึ้นนั้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม แต่เป็นการมอบโอกาสทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้ให้กับบริษัทที่ริเริ่มพัฒนาหาทางออกไปสู่ความยั่งยืนให้กับตัวเอง และที่สำคัญกว่านั้นเพื่อรับมือกับความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้า
• ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า การวางแผนการใหญ่หรือความตั้งใจอันยิ่งใหญ่นั้นอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้
แม้ว่ารัฐบาลและภาคธุรกิจจะกำหนดพันธกิจด้านความยั่งยืนไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่โลกก็กำลังวิ่งตามเป้าหมายนั้นไม่ทันขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการดำเนินการจริงมักมีอุปสรรค
เช่น ความขัดแย้งด้านการเมือง ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และขาดการสนับสนุนทางสังคม
ตัวอย่างที่ชัดเจนและน่าเศร้าใจคือ พันธสัญญา Net Zero ที่เกิดขึ้นเพื่อจำกัดความร้อนของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และเพื่อทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 45% จากระดับปี พ.ศ. 2553 ภายในปี พ.ศ. 2573
แต่จากข้อมูลระดับชาติที่มีอยู่ในขณะนี้ คาดว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กลับจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ภายในปี พ.ศ. 2573 (UN 2565) นอกจากนี้ การทำตามพันธสัญญาเหล่านี้ยังดำเนินไปอย่างล่าช้ากว่าแผนอย่างมาก (IPCC, 2566)
สำหรับประเทศไทยนั้น Net Zero ที่วางแผนไว้ในปี พ.ศ. 2608 เป็นหนึ่งใน Net Zero ที่จะบรรลุเป้าหมายช้าที่สุด ‘การซื้อเวลา’ อาจเป็นประโยชน์เนื่องจากเทคโนโลยีสะอาดจะเติบโตต่อไป และราคาจะถูกลงในอนาคต
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ทับถมรอมานานก็จะใหญ่ขึ้นตามมาเช่นกัน ที่สำคัญกว่านั้นการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินไปนั้นไม่สามารถจะสื่อสารถึงความเร่งด่วน รวมถึงเสียโอกาสต่างๆในการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมไทยอาจขาดโอกาสในการกลายเป็น Green Champions
นอกจากนี้ Net Zero ของประเทศไทยยังดูเหมือนว่าจะพึ่งพาการใช้ CCUS (Carbon Capture, Usage and Storage) เป็นหลัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลให้การสนับสนุน แต่เป็นวิธีที่คุ้มค่าน้อยกว่าทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้เศรษฐกิจหมุนเวียนก็มีบทบาทสำคัญในแผนของประเทศไทย ซึ่งแม้ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” จะได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ
โลกได้ดูดใช้ทรัพยากรในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามากกว่าในศตวรรษที่ 20 ทั้งหมดรวมกัน ระดับการรีไซเคิลได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 9.1% ในพ.ศ. 2561 เหลือเพียง 7.2% ในพ.ศ. 2566 (CGRI)
• การวัดปัจจัย ESG เพื่อการจัดการที่ดีขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การจัดการ ESG ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก
การได้มาซึ่งข้อมูล ESG นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงและมีปัญหาด้านคุณภาพข้อมูล ในขณะที่การตีความข้อมูลก็มีความคลุมเครือเกินไป (rating ที่แตกต่างกันโดยหน่วยงานที่แตกต่างกัน) และซับซ้อนเกินไปสำหรับนักลงทุน ทำให้เกิดการฟอกเขียวได้ง่าย
ESG taxonomy ซึ่งนำโดยสหภาพยุโรปและกำลังพัฒนาในเอเชียจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้บางส่วน ความสำเร็จในการนำระบบ ESG ไปใช้อย่างแพร่หลายนั้นต้องทำให้ง่ายขึ้น และต้องช่วย SMEs ในการนำไปใช้ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำอยู่ผ่าน ESG Academy
• ที่สำคัญที่สุด ESG rating system ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจรูปแบบเดิมมากกว่าโอกาสในการสร้างผลกระทบและการเติบโตด้วยนวัตกรรมใหม่
การเน้นไปที่การนำ ESG ไปใช้อย่างเดียวจะทำให้เสี่ยงต่อ “การที่บริษัทจะบรรลุเป้าหมายแต่พลาดประเด็น” การคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืนนั้น บริษัทจะต้องสร้างวัฒนธรรมและปรับกรอบความคิดด้านความยั่งยืนให้ทั่วทั้งองค์กร
เนื่องจากความยั่งยืนจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของการเติบโต สิ่งนี้จะต้องใช้พนักงานที่ใส่ใจและมีทักษะด้านการสร้างความยั่งยืนจำนวนมาก (green employees) ไม่ใช่เฉพาะระดับบนสุดขององค์กร
เพื่อรวบรวมความคิดริเริ่มทั่วทั้งองค์กรให้เป็นกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกัน
ตามตัวเลขของ LinkedIn การเติบโตของตำแหน่งงานด้านความยั่งยืน (+30% ในเอเชียแปซิฟิกระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึง 2564 เทียบกับ 70% ในยุโรปและ 40% ในสหรัฐอเมริกา) กำลังแซงหน้าอุปทาน และคาดการณ์ว่าโลกจะขาดแคลน green talents ภายในปี พ.ศ. 2569
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืนที่ตั้งเป้าหมายไว้ ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านความยั่งยืนโดยเร็วที่สุด
ศศินทร์ฯ เองก็กำลังบูรณาการเรื่องความยั่งยืนในหลักสูตร MBA และ Executive MBA ตลอดจนกำลังพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรด้าน Practical Sustainability Leadership สำหรับผู้นำที่ต้องขับเคลื่อนความยั่งยืน
ในขณะเดียวกันศูนย์ความยั่งยืนและการเป็นผู้ประกอบการของศศินทร์ฯ หรือ Sasin SEC (Sustainability & Entrepreneurship Center) ก็มีการจัด workshop ‘Value Discovery’ เพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรมองเห็นโอกาสทางการค้าและสามารถพัฒนาแผนงานเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆจากเทรนด์ด้านความยั่งยืน
เมื่อวางแผนแล้ว เราต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้!
บทความโดย
Geert-Jan (GJ) van der Zanden
Senior Advisor และ Visiting Professor Transformational Sustainability Leadership
Sasin School of Management