สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยจับมือ “USSEC”ดันถั่วเหลืองยั่งยืน
สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ลงนามข้อตกลง “USSEC” ชูโมเดลถั่วเหลืองยั่งยืนสหรัฐฯ ต้นแบบสร้างวัตถุดิบยั่งยืนในไทย ขณะปีนี้ไทยมีความต้องการ 21.3 ล้านตัน 60% นำเข้า
สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ สภาการส่งออกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USSEC) ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน รวมถึง การจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ ให้ตอบสนองความต้องการสินค้าปศุสัตว์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ หวังเป็นต้นแบบให้การผลิตข้าวโพดฯ มัน ข้าวและปลาป่น ปรับตัวเป็นวัตถุดิบยั่งยืนของไทยได้ในเร็ววัน
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจอาหารสัตว์ และปศุสัตว์ของไทย มีความพร้อมที่จะเดินหน้าเกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมให้ความสำคัญมาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่าสิบปี
ปีนี้ความต้องการผลิตอาหารสัตว์ของไทยอยู่ที่ประมาณ 21.3 ล้านตัน โดยในจำนวนนี้ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้ากว่า 60% และยังใช้วัตถุดิบภายในประเทศอีกประมาณ 40% ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี หรือแม้แต่วัตถุดิบภายในประเทศอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ข้าว และปลาป่น จะต้องเข้าสู่ระบบการผลิตที่ยั่งยืนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้ง 100% ด้วย
“ความร่วมมือกับ USSEC ในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างในการจัดหาถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่มีความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแหล่งความรู้ที่จะช่วยเร่งให้ไทยสามารถพัฒนาระบบการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าว หรือปลาป่น เพราะราคาจะไม่ใช่สิ่งแรกที่ตลาดถามหาอีกต่อไป แต่ค่าการปล่อยคาร์บอนของสินค้าชิ้นนั้นต่างหาก จะเป็นสิ่งแรกที่ตลาดถามถึง ซึ่งไทยต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้” นายพรศิลป์กล่าว
ขณะที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย มีความพยายามในการสนับสนุนให้เกิดการสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สมาคมฯ ในนามของภาคีปศุสัตว์และสัตว์น้ำไทย ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดำเนินการตรวจวัดการปล่อยคาร์บอนในแปลงปลูกข้าวโพดและกระบวนการผลิตปลาป่น ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประมวลผล อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนของสมาชิกสมาคมฯได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้การส่งออกอาหารของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ท่ามกลางความท้าทายในการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบอาหารสัตว์ของประเทศคู่ค้า
ข้อตกลงความร่วมมือสร้างวัตถุดิบที่ยั่งยืนระหว่าง 2 หน่วยงานนี้ ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การศึกษาพิธีการรับรองความยั่งยืนของวัตถุดิบถั่วเหลืองจากสหรัฐ (SSAP- Soy Sustainability Assurance Protocol) ที่สามารถใช้เป็นเอกสารยืนยันความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์ ตลอดจน ข้อแนะนำด้านความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำคัญคือ USSEC จะสนับสนุนด้านวิชาการและกลไกการรายงานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานโลก เพื่อสนับสนุนให้การผลิตอาหารสัตว์และการปศุสัตว์ของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรฐานที่โลกต้องการ
นายจิม ซัทเทอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ USSEC กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ คาดว่าความต้องการอาหารสัตว์ของไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 4.5 % จากปี 2567 ถึง 2572 โดยความต้องการในการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยั่งยืนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ USSEC พร้อมมากที่จะร่วมมือกับ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ในการเปิดทางสู่อนาคตที่แข็งแกร่งในภูมิศาสตร์การเกษตร ทั้งภาคการผลิตพืชวัตถุดิบ การผลิตภาคปศุสัตว์และการผลิตอาหารของประเทศไทย
สำหรับถั่วเหลืองของสหรัฐฯ มีรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับถั่วจากแหล่งที่มาอื่น ๆ โปรตีนพืชอื่น ๆ และน้ำมันพืช ตั้งแต่ปี 2523 เกษตรกรถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในการปลูกถั่วเหลืองถึง 60% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ดินได้ถึง 48% ปรับปรุงการอนุรักษ์ดินได้ถึง 34% และเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองได้ถึง 130% โดยใช้พื้นที่ปลูกเท่าเดิม
การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้โมเดลถั่วเหลืองของสหรัฐมาพัฒนาในหลายด้าน เช่น การลดรอยเท้าคาร์บอนในโรงงานอาหารสัตว์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรดินและน้ำ การลดการใช้สารเคมีในการเกษตร และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารสัตว์ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ