‘ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์’ ในชั้นบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - เข้มข้นสูง

‘ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์’ ในชั้นบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - เข้มข้นสูง

“ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้ “โลกร้อน” มากที่สุด ซึ่งในปีนี้ก๊าซคาร์บอนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสะสมในชั้นบรรยากาศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเพิ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา

KEY

POINTS

  • ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ล่าสุดสูงเกือบ 427 ส่วนต่อล้านส่วน และอัตราความเร็วของก๊าซคาร์บอนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณร้ายของโลก ที่บอกว่าเรากำลังล้มเหลวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
  • ระบบนิเวศบนบกทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นในช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนและอุณหภูมิที่รูปแบบสภาพอากาศ อีกทั้งสภาพอากาศแห้งแล้งจะส่งให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศพุ่งสูงขึ้นกว่าปรกติ
  •  อาจต้องใช้เวลามากกว่า 200 ปี กว่าที่ระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงต่ำกว่า 400 ส่วนในล้านส่วน แม้ว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงใกล้ศูนย์ภายในปี 2100 ก็ตาม

องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA พบว่า ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเดือนมีนาคม 2024 สูงขึ้น 4.7 ส่วนต่อล้านส่วน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีมา อีกทั้งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปีก่อน ๆ

เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ที่สถาบันสมุทรศาสตร์แห่งสคริปส์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก ใช้ฐานข้อมูลจากห้องปฏิบัติการในฮาวายของ NOAA เพื่อสร้างเส้นโค้งคีลิง (Keeling Curve) ซึ่งเป็นแผนภูมิที่แสดงความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศทั่วโลกในแต่ละวัน จากข้อมูลพบว่าอัตราความเร็วของก๊าซคาร์บอนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณร้ายของโลก ที่บอกว่าเรากำลังล้มเหลวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

ราล์ฟ คีลิง ผู้อำนวยการโครงการศึกษาก๊าซคาร์บอนของสถาบันสมุทรศาสตร์แห่งสคริปส์ กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ปริมาณและความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรชากาศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เพราะว่าทุกวันนี้ เราใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปรกติแล้วระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จากนั้นจะลดลงจนสู่ระดับต่ำสุดในเดือนสิงหาคม-กันยายน โดยก๊าซคาร์บอนจะลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำหน้าที่กักเก็บและดูดกลืนความร้อน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิด “ภาวะเรือนกระจก” ตั้งแต่ที่มนุษย์หันมาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งน้ำมันและถ่านหิน ก๊าซคาร์บอนก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยมา

นั่นหมายความว่า เส้นโค้งคีลิงจะถึงจุดสูงสุดใหมใหม่ในทุกเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งค่าสูงสุดในแต่ละปี ทำให้เกิดความกังวลว่าแผนภูมินี้จะสูงชันขึ้นเรื่อย ๆ โดยค่าล่าสุดอยู่ที่เกือบ 427 ส่วนต่อล้าน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมมากกว่า 50% และสูงสุดในรอบอย่างน้อย 4.3 ล้านปี ตามข้อมูลของ NOAA

ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศทะลุ 400 ส่วนในล้านส่วนเป็นครั้งแรกในปี 2557 นักวิทยาศาสตร์กล่าวในปี 2559 ว่าระดับดังกล่าวไม่น่าจะลดลงต่ำกว่าเกณฑ์นั้นได้อีกในอีกช่วงหนึ่งอายุคน และนับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5% ทุกปีตามข้อมูลของสถาบันสมุทรศาสตร์แห่งสคริปส์

แผนภูมินี้ตั้งชื่อตาม ชาร์ลส์ เดวิด คีลิง พ่อของราล์ฟ คีลิง ผู้ริเริ่มบันทึกความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศบนยอดภูเขาไฟภูเขาไฟเมานาโลอา ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1950 นับเป็นความพยายามครั้งแรกในการตรวจวัดก๊าซที่ทำให้โลกร้อน และช่วยเตือนนักวิทยาศาสตร์ให้ทราบถึงความเป็นจริงของภาวะเรือนกระจกที่ทวีความรุนแรงขึ้น และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโลก

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท ในสหรัฐ และมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ จากสกอตแลนด์ ที่ได้ทำการวิเคราะห์ทางเคมีน้ำแข็งแอนตาร์กติกโบราณโดยอย่างละเอียด จนพบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศในปัจจุบันเร็วกว่า ในช่วง 50,000 ปีที่ผ่านมาถึง 10 เท่า 

 

“เอลนีโญ” ทำให้ก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้นอยู่นานขึ้น

ในแต่ละปี ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ “ปรากฏการณ์เอลนีโญ” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทำให้อุณหภูมิน้ำแนวเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกและตอนกลางอุ่นกว่าค่าเฉลี่ย ส่งผลให้รูปแบบสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดความร้อนจัด น้ำท่วม และความแห้งแล้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก

ป่าเขตร้อนทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนชั้นดี เพราะป่าเหล่านี้จัดเป็นป่าประเภทไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีสีเขียวตลอดทั้งปี แต่ความแห้งแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญในพื้นที่เขตร้อน รวมถึงอินโดนีเซียและทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ส่งผลให้ป่าเหล่านี้กักเก็บคาร์บอนได้น้อยลง 

นอกจากนี้ คีลิงกล่าว ระบบนิเวศบนบกทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นในช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนและอุณหภูมิที่รูปแบบสภาพอากาศ อีกทั้งสภาพอากาศแห้งแล้งจะส่งให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศพุ่งสูงขึ้นกว่าปรกติ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงท้ายของปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ของ NOAA กล่าวว่ามีแนวโน้มที่เอลนีโญจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคมนี้

ข้อมูลจาก NOAA พบว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2023 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปริมาณก๊าซคาร์บอนในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 5 เท่า และมากกว่าปี 2010 อยู่ 2 เท่า ขณะที่ปี 2016 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายสถิติ ก็เป็นปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์

อาร์ลิน แอนดรูว์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศของ NOAA กล่าวว่าต้องใช้เวลาประมาณ 40 ปี กว่าที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลง แม้ว่าเราจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงแล้วก็ตาม เนื่องจากวัฏจักรคาร์บอนของโลกอยู่นอกสมดุลตามธรรมชาติ พืช ดิน และมหาสมุทรจึงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินออกไปเพื่อตอบสนองต่อการลดการปล่อยก๊าซของมนุษย์ 

แอนดรูว์คาดว่า อาจต้องใช้เวลามากกว่า 200 ปีกว่าที่ระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงต่ำกว่า 400 ส่วนในล้านส่วน แม้ว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงใกล้ศูนย์ภายในปี 2100 ก็ตาม 

ในวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ คาร์บอนจะไหลผ่านอากาศ ดิน น้ำ พืชและสัตว์ และในที่สุดก็ไหลลงสู่ตะกอนในมหาสมุทรลึกและสะสมเป็นฟอสซิลที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน โดยการเคลื่อนที่ของคาร์บอนทั่วทั้งระบบ ช่วยควบคุมอุณหภูมิของโลกของเรา ต่างจากบนดาวศุกร์ตรงที่คาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบในชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่ ทำให้พื้นผิวดาวเคราะห์ดวงนั้นร้อนจัด

แต่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของมนุษย์ทำให้ระบบนั้นไม่สมดุล แอนดรูว์กล่าวว่ามันเหมือนกับการทิ้งขยะลงในกองขยะมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าขยะจะน้อยลง แต่มันยังคงกองอยู่ ไม่ได้หายไปไหน


ที่มา: IndependentThe Washington Post