รู้หรือไม่ 'Fast Fashion' ปล่อยคาร์บอนมากกว่า 'การบิน-ขนส่งทางเรือ'
รู้หรือไม่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 1,700 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี ราว 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก มากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกันที่ 2-3%
KEY
POINTS
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 1,700 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี ราว 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก มากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกันที่ 2-3%
- ทุกปีทั่วโลกมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมากถึง 92 ล้านตันจะไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทย จะมีการปล่อยคาร์บอนฯ ที่ 4-8% ของทั้งประเทศ
อุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม) มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งมากกว่าหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางเรือ อาจเรียกได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีส่วนร่วมในการทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีการใช้พลังงาน น้ำ และสารเคมีอย่างมาก รวมถึงมีการสร้างขยะ และการปนเปื้อนของเส้นใยไมโครไฟเบอร์เข้าสู่สิ่งแวดล้อมระหว่างการซักล้าง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า การผลิตสิ่งทอ มีห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกษตรกรและผู้แปรรูปเส้นใยดิบ เส้นด้ายและผ้า ผู้ทอผ้า ผู้ย้อมผ้า และผู้ผลิตรวมไปถึงผู้จำหน่ายสินค้า ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อนจึงไม่น่าแปลกใจนักที่โดยเฉลี่ยอุตสาหกรรม สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (ไม่รวมรองเท้า) นี้มักปล่อยคาร์บอนฯ สูง ประมาณ1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือมีสัดส่วนประมาณ 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั่วโลก (UNFCCC, 2018) ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน (2-3%)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 'วงการแฟชั่น' ปรับตัวอย่างไร ในวันที่โลกมองหาความยั่งยืน
- ขยะ ‘Fast Fashion’ ถล่มโลก สร้างมลพิษในแหล่งน้ำธรรมชาติ ‘กานา’ โดนหนักสุด
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า จากข้อมูลล่าสุดในปี 2020 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีอัตราการปล่อยคาร์บอนฯ อยู่ที่ 4% ซึ่งยังคงสูงกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือที่ 2% International Labour Organization (องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ได้เปรียบเทียบต่าง ๆ พบว่า การปล่อยคาร์บอนฯ และมลพิษส่วนใหญ่มาจาก กระบวนการย้อมและการตกแต่ง ตามด้วยการเตรียมเส้นด้าย การผลิตเส้นใย และการผลิตผ้า ตามลำดับ โดยยังไม่รวมถึงการขนส่ง แต่คาดการณ์ว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ถึง 5%
สิ่งทอ บังกลาเทศ รายได้จากการส่งออกกว่า 81%
ในการคำนวนการปล่อยคาร์บอนฯ สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นค่อนข้างยากเพราะยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลมากนัก แต่ประเทศผู้ผลิตสิ่งทอหลักอย่าง จีน อินเดีย และบังคลาเทศ ยังคงพึ่งพาถ่านหิน นอกจากนี้ การย่อยสลายของขยะสิ่งทอในสถานที่ฝังกลบหรือการเผาไหม้ต่าง ๆ ทำให้เกิดการปล่อยสารเคมีอันตรายและก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่สิ่งแวดล้อม
เมื่อพิจารณาสัดส่วนการใช้พลังงาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งทอและเครื่องแต่งกายรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศจีน โดยในประเทศบังกลาเทศ อุตสาหกรรมนี้ทำรายได้หลักจากการส่งออกประมาณ 81% ของรายได้ของประเทศ และมีการใช้พลังงาน 27%
และในประเทศตุรกี อุตสาหกรรมนี้มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่ 3 รองจาก เหล็ก เหล็กกล้า และซีเมนต์ โดยที่กล่าวมานั้นโดยทั่วไปอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการใช้พลังงานหมุนเวียนน้อยกว่า 2%
เสื้อ 1 ตัว ปล่อยคาร์บอนมากกว่าขับรถเบนซิน 1 วัน
มีความเชื่อที่ว่าเสื้อผ้าจากที่มาจากเส้นใยสังเคราะห์มักทำร้ายธรรมชาติมากที่สุด แต่จากการศึกษา กลับพบว่า เสื้อ 1 ตัวที่มาจากฝ้าย กลับปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุด โดยมาจากกระบวนการผลิตฝ้ายและการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ที่น่ากลัวคือแม้ว่า Polyester จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า แต่ย่อยสลายได้ยากโดยใช้เวลาหลายร้อยปีจะจึงหมดไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ ทั้งสองทางเลือกจึงเป็นทางเลือกที่น่าลำบากใจสำหรับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นชวนคิดอีกว่า การผลิตเสื้อใหม่ 1 ตัว มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการขับรถเบนซินใน 1 วัน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการขับรถ 20 กิโลเมตร = 1.92 กิโลกรัมคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า) จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่ปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามือสองได้รับความนิยมและเติบโตขึ้น โดย ThredUp ได้คาดการณ์ว่า ธุรกิจของเสื้อผ้ามือสองของโลกจะเติบโตสูงถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027
อย่างไรก็ดี ความกังวลที่กล่าวมาอาจคลี่คลายลงได้ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งมีการทำรีไซเคิลประกอบกับการผลิตฝ้ายแบบออร์แกนิก ทำให้ปล่อยคาร์บอนฯ น้อยกว่าเส้นใยแบบอื่น ๆ และย่อยสลายได้ภายใน 6 เดือน เพราะผลิตโดยใช้เมล็ดพันธุ์ธรรมชาติ และไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารป้องกันศัตรูพืชใด ๆ อย่างไรก็ดี ในสหภาพยุโรปพบว่า มีเพียงแค่ 1% ของสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ ซึ่งเป็นหนทางอีกยาวไกลที่ต้องได้รับการสนับสนุน
ทั่วโลกทิ้งเสื้อผ้า 92 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ ทุกปีทั่วโลกจะมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมา 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมีถึง 92 ล้านตันที่ไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion เนื่องด้วย Fast Fashion เป็นการผลิตเสื้อผ้าที่ราคาถูก คุณภาพต่ำ และออกแบบให้ตามสมัยเพื่อให้สามารถซื้อได้บ่อย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าของทรัพยากรจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดขยะจากสิ่งทอที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเสื้อผ้าถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว
โดยการผลิตเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตั้งแต่ปี 2000 และยังไม่มีสัญญาณของการลดลง และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ปริมาณขยะจาก Fast Fashion คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปี ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งมากกว่าที่ทิ้งทั้งหมดต่อปีในตอนนี้
หนึ่งในประเทศที่กำลังแก้ปัญหาขยะสินค้าแฟชั่นคือฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีนาคม 2024 นี้ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเสื้อผ้าจากอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะเก็บค่าปรับกับผู้ผลิตฐานทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนเงิน 5 ยูโร ต่อเสื้อผ้า 1 ชิ้น และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10 ยูโร ภายในปี 2030 โดยไม่ใช่แค่ฝั่งผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังห้ามการโฆษณาบนสื่อทุกประเภทด้วย
บริบทและความท้าทายของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย การส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และอยู่ใน 20 อันดับแรกผู้ส่งออกสูงสุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 2,800 ตันต่อปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯที่ 4-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั้งประเทศ ซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์เฉลี่ยของโลก
อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาหลักของไทยคือ ข้อจำกัดของข้อมูลต่างๆ มิใช่เพียงของอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการจัดทำฐานข้อมูลโดยใช้ระบบ ISSB เพื่อจัดทำ Carbon Accounting ที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภาคเอกชน ได้แก่
- การใช้มาตรการส่งเสริม 3Rs (Reduce Reuse Recycle) และเศรษฐกิจแบบ BCG โดยในช่วงเริ่มต้นควรการให้เงินสนับสนุนหรือลดภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมในอนาคต
- การใช้กลไกภาษีเพื่อลดพฤติกรรม โดยอาจดำเนินการในทำนองกับประเทศฝรั่งเศสที่ดำเนินการกับ Fast Fashion ซึ่งอาจเริ่มต้นจากการเก็บค่าปรับ 20-50 บาทต่อชิ้น และอาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมในอนาคต
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงมาตรการจากภาครัฐเท่านั้น แต่ภาคเอกชนและผู้บริโภคเองที่จะต้องตระหนักรู้เพื่อเตรียมรับมือกับ Fast fashion และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป