เนสกาแฟส่งเสริม ‘การปลูกกาแฟแบบใหม่’ ใส่ใจเกษตรเพื่อความยั่งยืน
ในปัจจุบัน ภาวะโลกเดือดส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมที่เหมาะสำหรับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่เดิม เนื่องจากดินเสื่อมโทรมและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของประเทศลดลงอย่างมาก
โจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า เนสกาแฟจะพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งเป็นโครงการด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสกาแฟ การเกษตรเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ
ซึ่งขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่มีการปลูกและจัดหาเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน(Responsible Sourcing) 100% ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในระดับโลก เพื่อการันตีว่าเมล็ดกาแฟที่ปลูกขึ้นตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟ โรบัสต้าโดยตรงจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยอิงจากราคากาแฟในตลาดโลก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและสร้างความเชื่อมั่นว่าผลผลิตะมีตลาดรับซื้อที่ไว้วางใจได้มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟยั่งยืน ชูการเกษตรเชิงฟื้นฟู ควบคู่การสนับสนุนเกษตรกรไทยทุกมิติ
และมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทย ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเนสกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟในระยะยาวที่เพียงพอเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกษตรกรที่เราทำงานเคียงข้าง รวมถึงพันธมิตร คู่ค้า และประเทศไทยโดยรวม
ด้วยกลยุทธ์ของเนสกาแฟในช่วงครึ่งปีหลังนั้น จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นกลยุทธ์ “NES” ได้แก่ N: NESCAFÉ Brand การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า E: Experience มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ ผ่านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ และ S: Sustainability การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์
ทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า
นอกจากการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม
นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น
การใช้เกษตรฟื้นฟู regenerative agriculture คือการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรทางการเกษตร ในปัจจุบันสินค้าทางการเกษตรมีความเสื่อมโทรมอย่างมาก ในเรื่องของต้นน้ำของสินค้า ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการลดคาร์บอนได้อีกด้วย รวมถึงการปกป้องแหล่งน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ ในพื้นที่ปลูกกาแฟ และส่งเสริมการปลูกกาแฟคู่กับป่า และใช้พืชคลุมดินป้องกันการพังทะลายของหน้าดิน และส่งเสร็มการปลูกพื่ชที่หลากหลาย ส่งเสริมรายได้จากพืชอื่นๆอีกด้วย
การใช้ปุ๋ยอินทรีและปุ๋ยเคมีให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ที่จำเป็นต่อต้นกาแฟที่พอดี สามารถลดต้นทุนของปุ๋ยได้อีกด้วย และให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของเกษตรกร โดยให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟกว่า 2,000 คนได้รับการฝึกฝนเกษตรกรรม สามารถสร้างรายได้ฟาร์มสุทธิเพิ่มขึ้น 88% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับ 2018
สุดใจ คำยอด เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ปลูกกาแฟมาเกือบ 40 ปี มีช่วงเวลาที่เคยท้อแท้จากผลผลิตที่น้อยลงและไม่ได้คุณภาพ จนทางเนสท์เล่ได้ส่งนักวิชาการเกษตรมาช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟแทบจะทุกด้าน รวมทั้งหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู จนผลผลิตกลับมาดีขึ้น
ในปัจจุบันโลกร้อนขึ้น อากาศร้อนมาก แล้งด้วย น้ำไม่พอใช้ กาแฟได้น้ำไม่พอ ทำให้สัดส่วนผลผลิตที่จะได้เพิ่มขึ้นมีปริมาณลดลง แต่สวนของเราใช้แนวทางของเนสท์เล่ ก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น ๆ ทำคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรให้หันมาใช้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเพื่อผลผลิตที่ดีอย่างยั่งยืน
นอกจากการเกษตรเชิงฟื้นฟูยังสอนเทคนิคการเสียบยอดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า ส่วนต้นกล้าก็ให้ผลผลิตที่ดี เมล็ดใหญ่ และทนแล้ง รวมทั้งยังมาช่วยวิเคราะห์สภาพดิน เพื่อใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม
และส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟ เพื่อช่วยผสมเกสร ซึ่งการเลี้ยงผึ้งในสวนก็เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าสวนนั้น ๆ ไม่มีการใช้สารเคมี อย่างสวนกาแฟของนายสุดใจก็มีการเลี้ยงผึ้งด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงถึงความสมบูรณ์ทางชีวภาพอีกด้วย