การรับมือ 'โลกเดือด' เปิดโอกาส - ความท้าทายในธุรกิจ ภายใต้นโยบายใหม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อโลก และประเทศไทยเป็นอย่างมาก เช่น ปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ ทำให้ทุกหน่วยงานควรให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และพลิกเป็นโอกาสเพิ่มความท้าทายในธุรกิจภายใต้นโยบายใหม่
ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดี กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวในงาน Thailand Focus 2024: Adapting to a Changing World หัวข้อ "Climate Action in Thailand: Business Opportunities and Challenges under New Policies" จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าประเทศไทย ตั้งใจจะลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก และการใช้พลังงานสิ้นเปลือง เพื่อให้เข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 และตั้งเป้าหมายลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก 30–40% ภายในปี 2573
ในการบรรลุเป้าหมายนี้ประเทศไทย จะต้องลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มการใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีต่างๆ และยุติการใช้โรงงานพลังงานถ่านหิน ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และขั้นต่อไปของการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ Nationally Determined Contributions : NDCs คือ การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 40–60% ซึ่งประเทศไทยจะส่งแผนการทำงานภายในต้นปีหน้า
เนื่องจากประเทศไทยจะได้รับผลกระทบทางสังคม และทางสิ่งแวดล้อมจากภาวะโลกร้อน กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมจึงต้องการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ที่ผ่านขั้นตอนประชาพิจารณ์เมื่อไม่นานมานี้
ร่างกฎหมายนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน คือ สถาบัน, การบรรเทาผลกระทบ, การปรับตัว และการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งสามารถทำได้ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน การสร้างกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ทุนแก่หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานระดับท้องถิ่น หรือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้กรมฯ ได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมศุลกากร และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดมาตรการ และรายละเอียดในการตรวจสอบ และเก็บภาษีเพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ การผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบแก่สิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับ
มาตรการ CBAM ที่มีผลบังคับใช้แล้ว และอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านก่อนเริ่มเก็บค่า CBAM certification หรือเอกสารรับรองการจ่ายค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากผู้นำเข้าสินค้าใน 2569 เป็นต้นไป
ร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยคาดว่าจะผ่านในช่วงปีหน้าหรือปีถัดไป ซึ่งจะกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องส่งรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเริ่มจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมก่อน และขยายผลไปสู่บริษัทอื่นๆ ต่อไป
หากบริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง ก็จะต้องจ่ายภาษีคาร์บอนสูง หรือต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากรัฐบาลเพื่อชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ดำเนินกิจการโดยไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อม และภาวะโลกร้อนให้มากที่สุด ในประเด็นนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถให้แรงจูงใจทางภาษี และการลงทุนแก่บริษัทที่ตั้งใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เช่นกัน
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจปรับตัวรับการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างไร ขั้นแรกภาคธุรกิจต้องเข้าใจว่าเราอยู่ถึงไหนแล้ว ใน 2 ด้าน คือ
- CFO (Carbon Footprint Organization) คือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ซึ่งหมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร
- CFP (Carbon Footprint Product) คือ ปริมาณการปล่อย และดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์
ธุรกิจวางโรดแมปอย่างไรในการมุ่งสู่ Neutral Carbon 2030 และ Net Zero 2050 ซึ่งครอบคลุมถึงการปล่อยคาร์บอน และคาร์บอนใช้ในการผลิต และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงและทางอ้อม โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
- ซึ่งเป็นวิธีง่าย และถูกที่สุดคือ การปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องมือ ลดการใช้พลังงาน มีโซลาร์รูฟ และ อื่นๆ เพื่อลดอุณหภูมิของอาคารลง นำไปสู่การใช้พลังงานลดลง
- Nature-Based Solution คือ การดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการ ปกป้อง และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
- Climate technology คือ การใช้เทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งขั้นตอนที่สามเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด และแพงที่สุด ต้องใช้การบูรณาการทั้งระบบนิเวศ ซัพพลายเชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อเป็น Fully integrated Ecosystem Across Supply chain
ขั้นตอนที่ 1 และ 2 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10-20% ส่วนอีก 80% ที่เหลือขึ้นอยู่กับขั้นตอนที่ 3
ด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน ที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันตลอดทั้งปี ขณะที่พลังงานหมุนเวียนจะมีข้อจำกัด เช่น พลังงานโซลาร์ผลิตได้เพียง 20% ต่อวัน
ตอบโจทย์พลังงานเพื่อความยั่งยืนนั้นจะต้องสามารถปิดช่องว่างด้านระยะทาง และเวลาได้ เช่น เมืองซินเจียง ประเทศจีนได้เปลี่ยนทะเลทรายเป็นโซลาร์ฟาร์ม และส่งไปยังเมืองท่าชายฝั่งทะเลที่มีความต้องการใช้พลังงานสูงด้วยเทคโนโลยี เช่น Ultra-High Voltage Transmission
ยาโชวาดัน โลเฮีย Chairman of the ESG Council บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าสำหรับนโยบายภาวะโลกร้อนของกลุ่มบริษัทด้านเคมีระดับโลก และเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก และขวดน้ำพลาสติก PET ได้วางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573
ซึ่งสอดคล้องกันกับเป้าหมายของประเทศไทย ซึ่งการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ กลุ่มบริษัท ได้วางกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงมาสู่การใช้พลังงานชีวภาพ เช่น อ้อย การรีไซเคิล และการนำกากพืชกากสัตว์ หรือส่วนที่เหลือจากผลิตภัณฑ์การเกษตรมาใช้ในกระบวนการการผลิตใหม่
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนคือ การที่มาตรการต่างๆ มีราคาแพง และกำหนดให้บริษัทต้องประสานกับภาครัฐ และประชาชนเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
เนื่องจากในปัจจุบันการลงทุนในประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสูงกว่าประเทศจีน และอินเดียอีกด้วย ดังนั้นการที่รัฐบาลจะเก็บภาษีคาร์บอน และเพิ่มมาตรการต่างๆ ก็ต้องนำประเด็นนี้มาร่วมพิจารณาด้วยเช่นกัน
โดยตัวอย่างกรณีศึกษาประเทศในยุโรปที่หลายโรงงานต้องปิดตัวไป เพราะมาตรการภาวะโลกร้อน และสงคราม โดยการขึ้นภาษีจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจสีเขียวมีต้นทุนสูงมาก เพราะกระบวนการในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรม (Carbon Capture) มีราคาสูง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการดำเนินการ
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยถือว่าอยู่ในจุดที่ดี เพราะยังมีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ขณะที่ Carbon Footprints ของไทยยังถือว่าต่ำกว่าประเทศที่ใช้ถ่านหินอยู่มาก แต่ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ ผู้บริโภคอาจจะยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้นให้กับผู้ผลิตที่ใส่ใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แต่เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะจับจ่ายอย่างประหยัดขึ้น ทำให้ภาคการผลิตจะต้องวางแผนการผลิต ที่ทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่ก็ยังมีผลกำไรมากพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์