Sustainable Tourism : ทรานส์ฟอร์มสู่ความยั่งยืน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ กำลังเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญกับการผลักดันให้เกิด ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาสนใจ การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน มากขึ้น
ธุรกิจที่สามารถตอบรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ย่อมมีความได้เปรียบในการแข่งขัน การพลิกโฉมธุรกิจท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืนจึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญทั้งในเรื่องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การขาดการจัดการที่เป็นระบบและขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการดำเนินงานทำให้สูญเสียทรัพยากรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โรงแรมหลายแห่งไม่สามารถปรับปรุงการใช้พลังงานได้เนื่องจากขาดระบบบริหารจัดการพลังงานและขาดการวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจและสิ่งแวดล้อม
การทำ Digital Transformation ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่ได้เพียงแค่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
การนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้วิเคราะห์การใช้พลังงาน การจัดการขยะ และบริหารการใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ทำให้ธุรกิจสามารถประเมินและปรับปรุงการใช้ทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้น
โรงแรมหลายแห่ง เช่น ในเครือ Accor นำเอาระบบ IoT มาติดตามการใช้พลังงาน ปรับอุณหภูมิในห้องพักตามจำนวนผู้เข้าพักเพื่อลดการใช้พลังงานและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
แพลตฟอร์ม Cloudbeds ช่วยให้โรงแรมสามารถปรับการใช้พลังงานตามความต้องการของลูกค้าในแบบเรียลไทม์ทำให้สามารถประหยัดทรัพยากรได้มากขึ้น
แพลตฟอร์ม Green Key Global ช่วยโรงแรมต่าง ๆ ในการติดตามและรับรองมาตรฐานการจัดการพลังงาน น้ำ และขยะ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยโรงแรมปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความอย่างยืน
ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น เดนมาร์ก และ คอสตาริกา มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เดนมาร์กมีโครงการ Green Key ที่ส่งเสริมให้โรงแรมปรับปรุงการใช้พลังงานและทรัพยากรผ่านการใช้ IoT และระบบดิจิทัล
ขณะที่ในคอสตาริกา มีการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยติดตามผลกระทบจากการท่องเที่ยวต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งผลให้ภาคธุรกิจสามารถปรับแผนการบริหารจัดการได้ในแบบที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สนามบินชางงีในสิงคโปร์ มีการใช้มาตรการประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีในการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังใช้พลังงานสะอาด ทำให้กลายเป็นผู้นำด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
การนำกรณีศึกษาเหล่านี้มาปรับใช้ในประเทศไทยจะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวไทย
การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัว ผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ตามรายงานจาก Booking.com พบว่า 83% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมองว่าการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ แต่มีเพียง 49% ที่สามารถหาทางเลือกที่ยั่งยืนได้ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทรานส์ฟอร์มและนำเสนอการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น
การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงดิจิทัลให้ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน รัฐควรมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนควรลงทุนในระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร
การร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตไปไกลในระดับโลก.