การเงินเพื่อBlue Economyส่งธุรกิจ รับมาตรฐานการค้า-ลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม

องค์ประกอบของโลกมี“น้ำ”มากกว่าแผ่นดิน เท่ากับว่าทะเลและมหาสมุทรห่อหุ้มโลกไว้ ธนาคารโลก(World Bank) ให้ความหมาย เศรษฐกิจสีน้ำเงิน หรือ Blue Economy ไว้ว่า
คือการใช้ทรัพยากรมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการปกป้องทะเลเท่ากับปกป้องเศรษฐกิจของทุกคนด้วย อีกด้านหนึ่งท้องทะเลยังมีฟังก์ชั่นเสริม ที่เรียกว่า “บลูคาร์บอน” หรือ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนที่สูงกว่าป่าไม้ถึงเกือบ 10 เท่า
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ( EXIM Bank) จัดสัมมนา“BLUE ECONOMY & BIODIVERSITY FORUM” มีหน่วยงานภาครัฐและธุรกิจรายใหญ่และรายย่อมร่วมงาน จัดโดยโครงการยั่งยืนนิยม ( Sustainism)
รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM Bank กล่าวในหัวข้อ “Ready for Blue Financing”ว่า ประชากรโลก 1 ใน 3 พึ่งพาอาศัยและดำรงชีวิตด้วยทรัพยากรทางทะเล ทำให้Blue Economy มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับประเทศไทย ประชากรถึง 24%อยู่อาศัยภายใต้ Blue Economy และจีดีพีประเทศไทยมาจากBlue Economyถึง 30%
อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศทางทะเลกำลังถูกท้าทายจากกิจการและการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ เพื่อปกป้องท้องทะเลมีการประเมินความต้องการ Blue Finance โลก ไม่ว่าจะในรูปแบบ Blue Loan และ Blue Bond ไว้ที่ 1.75 แสนล้านดอลลาร์ แต่เม็ดเงินที่เกิดขึ้นจริงมีปีละ 10,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
EXIM Bank จึงต้องการมีส่วนร่วมผลักดันให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืนและดูแลสิ่งแวดล้อม ทั้งโกกรีน หรือ โกบลู โดยธนาคารมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อต้องเป็นสินเชื่อเพื่อบลูไฟแนนซ์ หรือ กรีนไฟแนนซ์มากขึ้น โดยปี 2568 จะเพิ่มสัดส่วนและผลิตภัณฑ์ต่างๆให้มากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งที่ดำเนินการมาแล้ว เช่น Sustainability Linked Loan (SLL) ที่จะให้ส่วนลดดอกเบี้ยหากธุรกิจดำเนินบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนที่ตกลงร่วมกันไว้ได้
“ตอนนี้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 1.47 องศาแล้วใกล้แตะเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.5 องศา ประเมินว่ากรณีเลวร้ายสุดอุณหภูมิโลกอาจแตะที่ 1.9 องศา แต่หากไม่ทำอะไรเลยจะเพิ่มขึ้นไปอีก 3.6องศา เรากำลังเข้าสู่ยุค ไคเมท ช็อก ไม่ใช่แค่ ไคลเมท เชนจ์เท่านั้น”
อุกกฤต สตภูมินทร์ ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวว่า ระบบนิเวศทางทะเลที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่อนิเวศบริการต่างๆด้วย เช่น การท่องเที่ยว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ปะการังฟอกขาวที่เกิดจากน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณว่าปะการังกำลังจะตาย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเต่าทะเลที่อุณหภูมิกำหนดเพศของเต่า และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นก็จะมีแต่เต่าตัวเมียซึ่งจะไม่เกิดการผสมพันธุ์และขยายตัวจนสูญพันธุ์ในที่สุด
“หน้าที่ของกรมฯคือกำหนดนโยบายการจัดการและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและปัจจัยขีดความสามารถของบลูคาร์บอน ส่วนคาร์บอนเครดิตที่ได้จากทะเลก็จะเป็นประโยชน์ของผู้ประกอบการหากจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของธุรกิจอีกทางหนึ่ง”
เพ็ชร ประภากิตติกุล ผู้อำนวยการโครงการยั่งยืนนิยม กล่าวในหัวข้อ “เตรียมความพร้อมสู่โครงการยั่งยืนนิิยม(Sustainism)” ว่า ธุรกิจมีโจทย์เรื่องความยั่งยืนที่ต้องตอบซึ่งหลายบริษัททำCSR (Corporate Social Responsibility) ได้ดีแล้วแต่การทำให้เม็ดเงินเหล่านั้นสร้างแรงกระเพื่อมที่มากขึ้นจะเป็นการส่งให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนได้ผ่านความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจด้วยกันโดยมีEXIM BANK เป็นตัวเชื่อมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวในหัวข้อ “BLUE Mission Forum อนาคตธุรกิจข้ามทะเลยั่่งยืน”ว่า ในบทบาทของธนาคารรัฐที่ต้องออกไปติดต่อประสานงานในต่างประเทศทำให้ได้มีปฎิสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างประเทศและมาตรฐานในต่างประเทศ ซึ่งพบว่ามีความต้องการและความคาดหวังเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สูงมาก แต่เมื่อเทียบกับประเทศไทยกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
ดังนั้น หากธุรกิจต้องการออกไปทำการค้าในต่างประเทศ หรือ ต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ การยอมรับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตามมาตรฐานที่คู่ค้ากำหนด ซึ่งปัจจุบันมีทั้งมาตรฐานของยุโรป ของจีน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การชนะบนบกอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องลงไปดูในทะเลด้วยEXIM BANK จึงออก บลูบอนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมีผู้สมัครมากกว่าที่คาดไว้(oversubscribed)เพราะมีดีมานด์ที่สูง แต่การทำโครงการการเงินสีน้ำเงินสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือมาตรฐาน ซึ่งการตรวจสอบและยอมรับมาตรฐานมีต้นทุนที่สุด แต่หากผ่านมาตรฐานไปได้ก็จะได้สินเชื่อซึ่งมีเงื่อนไขที่ดี มีต้นทุนทางการเงินที่ดีกว่า ซึ่งEXIM BANKสามารถช่วยธุรกิจได้
นอกจากมาตรฐานเพื่อเงื่อนไขการค้าที่ดีแล้ว การบรรลุมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับได้ก็เป็นสิ่งจำที่นักลงทุนมองหา เพราะนักลงทุนมองว่าเมื่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ออกมาใช้อาจกระทบยอดขายของธุรกิจ ดังนั้นสิ่งที่ต้องบอกให้นักลงทุนเข้าใจคือธุรกิจสามารถรับมาตรฐานเหล่านี้ได้และไม่ส่งผลกระทบใดๆแม้ในการเริ่มต้นอาจทำให้มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแต่ในระยะเวลาการลงทุนและผลตอบแทนจะครอบคลุมกันได้อย่างเหมาะสมซึ่ง EXIM BANK จะเข้าไปมีบทบาทช่วยตั้งแต่หนึ่ง การให้ความรู้ การตระหนักว่าถ้าไม่นำการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงจะทำธุรกิจเผชิญกับความท้าทาย
สอง คือการเติมเครื่องมือ เนื่องจากต้นทุนการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมมีราคาแพงมาก ดังนั้นสิ่งที่EXIM BANKทำงานอยู่คือการหาคาร์บอนเทคโนโลยี เพื่อให้ได้ราคาที่เอสเอ็มอีเข้าถึงได้
สาม คือเติมทุนดอกเบี้ยต่ำ เช่น ซอฟท์โลน ให้เอสเอ็มอี โดยสินเชื่อนี้ต้องตกลงเป้าหมายก่อนว่าจะ ลดคาร์บอนเท่าไหร่ หรือ ประหยัดไฟฟ้าอย่างไร กำหนดตัวชี้วัดร่วมกันอย่างชัดเจน หากทำได้ในทุกปีจะลดดอกเบี้ยให้ ซึ่งสิ่งที่แตกต่างคืออยากให้ธุรกิจเริ่มลงมือทำจากข้อตกลงรวมกันเมื่อทำได้ก็จะได้ส่วนลดดอกเบี้ยในที่สุด
อิศรินทร์ ภัทรมัย กรรมการบริหาร บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นหลักคืิอ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น มีเป้าหมายการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องต้องปกป้องและดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย เริ่มตั้งแต่การก่อสร้าง การจัดการในโครงการ เช่น การจัดการน้ำ การดูแลสังคมรอบด้าน แนวทางนี้อาจเป็นการลงทุนเพิ่มขึ้นแต่ก็จะได้เข้าถึงอีกตลาดท่องเที่ยวอย่าง Experience tourism สอดคล้องกับแผนการผนวกการเติบโตธุรกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลตอบแทนที่ได้จะคุ้มค่าและยั่งยืน