เกาหลีใต้ชูโมเดลเกษตรหมุนเวียน-ลดคาร์บอน บทเรียนสำคัญสำหรับไทย
เกาหลีใต้กำลังเดินหน้าปฏิวัติภาคเกษตรครั้งใหญ่ด้วยแนวคิดเกษตรกรรมหมุนเวียนและการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 นับเป็นความท้าทายที่สำคัญเนื่องจากภาคการเกษตรมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในสามของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ โดยส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปศุสัตว์ การปลูกพืช และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก 5.2% เป็น 10% ภายในปี 2025 พร้อมทั้งสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยีให้เกษตรกร นโยบายดังกล่าวครอบคลุมมาตรการต่างๆ เช่น การให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรที่เปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์หรือลดการใช้สารเคมี การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดตั้งระบบรับรองผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
มาตรการสำคัญมาตรการหนึ่งคือ การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมจะได้รับเงินอุดหนุนสำหรับการติดตั้งเทคโนโลยีสีเขียว เช่น ระบบพลังงานหมุนเวียน และสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการดำเนินงานของเกษตรกร รวมถึงสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการขายคาร์บอนเครดิต
ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจคือฟาร์มปลูกพริกหวานในจังหวัดคยองกี ที่เปลี่ยนจากการใช้หม้อต้มน้ำมันดีเซลมาใช้ระบบปั๊มความร้อนใต้ดิน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1,002 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในเวลาสามปี นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงร้อยละ 50 และเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 10 เนื่องจากสามารถควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนได้แม่นยำมากขึ้น แม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นสูงถึง 200 ล้านวอน แต่รัฐบาลได้สนับสนุนเงินอุดหนุนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
อีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือฟาร์มมะเขือเทศเชอร์รี่ที่ได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ โดยใช้เทคนิคการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น การใช้ม่านฉนวนหลายชั้นในโรงเรือนเพื่อลดการใช้พลังงาน การใช้เทคนิคการไม่ไถพรวนดินเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากดิน การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองจากเศษวัสดุทางการเกษตร และการใช้วิธีการควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับการผลิตแบบทั่วไป
นอกจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรยังได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนต่ำสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 2-3 เท่า โดยเฉพาะในตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โรงเรียนและหน่วยงานราชการ นอกจากนี้ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และการลดการใช้สารเคมียังช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น มีรสชาติดีขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงขึ้น
นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้ยังส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคเกษตรอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนโรงเรือนเกษตร การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลในฟาร์ม และการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือไฮโดรเจน มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานให้กับเกษตรกรในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมหมุนเวียนยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะต้นทุนเริ่มต้นที่สูงในการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ และการขาดความรู้และทักษะของเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีและวิธีการใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในการสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคและการพัฒนาตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับท้องถิ่น และให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เกษตรกรผ่านกองทุนพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำโครงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความสำคัญของผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการวางแผนและดำเนินโครงการต่างๆ
บทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทยคือ การกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน และการบูรณาการนโยบายด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะการพัฒนากรอบกฎหมายที่ครอบคลุมและการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรพิจารณาการพัฒนาระบบรับรองผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภาคเกษตร
การนำบทเรียนจากเกาหลีใต้มาปรับใช้จะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างของประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศเกษตร อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืนสามารถสร้างประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ หากมีการวางแผนที่ดีและได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และชุมชนเกษตรกร ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระยะยาว