36 ปี แม่ฟ้าหลวง ถอดสููตรสำเร็จงานพัฒนา  สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

36 ปี แม่ฟ้าหลวง ถอดสููตรสำเร็จงานพัฒนา   สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดำเนินการครบ 36 ปี มีประสบการณ์ องค์ความรู้ในงานพัฒนา จากการดำเนินงานต่อเนื่องตามปณิธานของสมเด็จย่าในการปลูกป่า ปลูกคน ความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับโจทย์การพัฒนาของบริษัทเอกชนที่เป็นโอกาสธุรกิจที่ปรึกษาความยั่งยืน

KEY

POINTS

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดำเนินการพัฒนาโคร

นับตั้งแต่ปี 2531 เป็นเวลากว่า 36 ปีเต็มที่ "โครงการพัฒนาดอยตุงฯ" ได้ใช้แนวทางพัฒนาตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” ในเรื่อง “ปลูกป่าปลูกคน” เพื่อแก้ปัญหาการปลูกฝิ่น สร้างอาชีพใหม่ในพื้นที่ พัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ทุกกลุ่มอายุ ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม-วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน พร้อมทั้งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พัฒนาชุมชน สังคม และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนา การบูรณาการความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพชุมชน

บทบาทของมูลนิธิฯ ได้รับการยอมรับทั้งในไทยและในเวทีโลก ว่าเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งมีบทบาทในเวทีสิ่งแวดล้อม ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ

ปัจจุบัน ประชากรดอยตุงมีทรัพย์สินรวม 1,146 ล้านบาท จากประชากรวัยแรงงาน 70% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2531 จำนวน 28 เท่า และหากเปรียบเทียบกับปี 2565 รายได้เพิ่มขึ้น 3.6 % และรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน คือ 576,838 บาทต่อปี ซึ่งมากว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 1.6 เท่า ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายลดลงกว่าปีที่ผ่านมา 23 % และหนี้สินลดลง 22 % และมีเงินออมเพิ่มขึ้น 75 %

ความสำเร็จที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมนั้นเกิดจากองค์ความรู้ในการทำงานในพื้นที่จริง ทำให้มูลนิธิฯมี "องค์ความรู้" สั่งสมเป็น "ศาสตร์" ที่นำไปใช้ในการพัฒนา สามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อขยายผล และสร้าง “ความเปลี่ยนแปลง” ให้เกิดขึ้นกับสังคมในวงกว้างมากขึ้น จึงเป็นที่มาของธุรกิจ "ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน" (Sustainable Advisory) ที่มูลนิธิฯกำลังเดินหน้าในงานด้านนี้ร่วมกับหลายภาคส่วน

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์  กล่าวว่าทุกวันนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDGs) เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เป้าหมายการหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของโลกภายในปี 2030 เป็นต้น

36 ปี แม่ฟ้าหลวง ถอดสููตรสำเร็จงานพัฒนา   สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

ในเวทีด้านการพัฒนาระดับสากลยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างการพัฒนาคุณภาพชีวิตคน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการฟื้นฟูธรรมชาติ ปี 2567 นับเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมา โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในเดือน มกราคม-กันยายน สูงกว่าอุณหภูมิยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส

ภัยธรรมชาติสร้างความเหลื่อมล้ำเพิ่ม

รวมทั้งยังมีวิกฤติภัยธรรมชาติที่สร้างผลกระทบรุนแรงและเป็นวงกว้าง โดยผลกระทบจากภัยพิบัติเหล่านี้จะเพิ่มความไม่เท่าเทียม ผลักดันผู้ที่มีความเสี่ยงไปสู่ความยากจนมากขึ้นอีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในการแก้ปัญหานี้เพื่อบรรเทาและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ทั่วโลกยังขาดตัวอย่างการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมในหลายมิติ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน การดำเนินการของมูลนิธิฯ จึงเป็นแบบอย่างที่หลายหน่วยงานให้ความสนใจ

ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าวต่อว่าแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) จะกระทบกับการดำเนินงานของดอยตุงอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ไม่ได้สร้างปัญหาอย่างเดียวแต่ก็เป็นโอกาสให้กับการทำงานของเราเพิ่มขึ้นด้วย

36 ปี แม่ฟ้าหลวง ถอดสููตรสำเร็จงานพัฒนา   สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

“มีคำพูดหนึ่งที่เป็นคำพูดที่ดีมาก คนที่พูดบอกว่าเราต้อง ‘avoid the unmanageable and manage the unavoidable ’ คือเราต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราบริหารจัดการไม่ได้ แล้วต้องจัดการสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นธีมในการทำงานของเราในช่วงเวลาต่อไป”ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกติกาใหม่ของโลกจึงทำให้มูลนิธิฯเห็นถึงโอกาสที่จะนำเอาความรู้ ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมจากการทำงานตลอด 36 ปีที่ผ่านมา มาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนหน่วยธุรกิจใหม่ของมูลนิธิคือ “ที่ปรึกษาเรื่องความยั่งยืน” 

ตำราแม่ฟ้าหลวงสู่การปฏิบัติ 

โดยจากการคุยกับผู้บริหารองค์กรที่เราเข้าไปทำงานด้วยเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า “ตำราแม่ฟ้าหลวง” นั้นนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และเอาองค์ความรู้ที่เรามีมาช่วยเทรนด์ช่วยสอนคนในองค์กรต่างๆทั้งในประเทศไทย รวมทั้งในเวทีต่างประเทศ เช่นเดียวกับการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงนำเอาองค์ความรู้ของสมเด็จย่าไปถ่ายทอด ไปปักธงเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับโลกได้ ส่วนนี้คือส่วนสำคัญตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระองค์ทรงเคยรับสั่งกับ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล  อดีตราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ว่า “ทำอย่างไรไม่ให้คนลืมแม่”

“งานของพ่อที่ยังค้างอยู่คือทำอย่างไรไม่ให้คนลืมสมเด็จย่า วิธีการที่ดีที่สุดคือทำให้หลักการทรงงานของสมเด็จน่านั้นแพร่หลายไปทั้งในและต่างประเทศ โดยการนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทั้งเวทีระหว่างประเทศ และใช้กับองค์กรต่างๆ" ม.ล.ดิศปนัดดากล่าว 

สร้างความร่วมมือ-ขยายผล 

วันนี้แม่ฟ้าหลวงทำงานต่างจากในอดีตที่เราเข้าไปในพื้นที่แล้วเอาความรู้เรื่องการพัฒนาเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลง และเอาพื้นที่นั้นเป็นจุดเรียนรู้ ซึ่งเป็นการทำงานของเราเองทั้งหมด แต่วันนี้เราทำสิ่งต่างๆด้วยการมีความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆเป็นลักษณะ “engagement” เพิ่มมากขึ้น เปรียบไปแล้วเราอยากมีเพื่อนที่เดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้น

"วันนี้ผมมองว่าทัศนคติในการทำงานเปลี่ยนนะ ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเราทำทุกอย่างทั้งหมดเองเพื่อให้คนเข้าใจในเรื่องของการพัฒนา แต่วันนี้เราเข้าไป Empower เขาให้เข้าใจ ไปช่วยสอนคนของเขา แล้วต้องทำในทุกระดับตั้งแต่ระดับผู้บริหารมาถึงระดับปฏิบัติการ ทำจากบนลงล่างและล่างขึ้นบน เพื่อให้นโยบายและระดับปฏิบัตินั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยกันจึงจะประสบผลสำเร็จ"

หลักทรงงานสมเด็จย่ากับการทำงานของเอกชน

เมื่อถามว่าแนวทางการทรงงานของ “สมเด็จย่า” ที่ภาคเอกชนจะสามารถนำไปปรับใช้ในองค์กรในยุคนี้ได้คืออะไรบ้าง ม.ล.ดิศปนัดดากล่าวว่าที่ผ่านมาในอดีตเมื่อเราดูการทำงานของเอกชนจะไปมุ่งเน้นในเรื่องของผลประกอบการของบริษัท และไปมุ่งเน้นในเรื่องรายได้เป็นหลัก

แต่ในปัจจุบันนี้โลกถูกบีบ ให้ทุกองค์กรต้องคิดเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ให้ผลความสัมพันธ์ของผลประกอบการของบริษัทกับการใช้ทรัพยากรนั้นเชื่อมกันแน่นกว่าเดิม เราเริ่มเผชิญปัญหาที่เข้ามากดดันเรื่องของผลการดำเนินทางธุรกิจ และผลการดำเนินชีวิตของผู้คน แล้วมันเริ่มเข้ามาในรูปแบบ ของโลกร้อนที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเราไปวัดความสำเร็จของผลประกอบการอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงความยั่งยืน ยังเบียดเบียนหรือข่มเหงคนที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะในระดับล่าง สุดท้ายแล้วในบริษัทมันจะไม่มีอะไรที่จะให้ใช้มาทำให้ผลประกอบการดีได้  

“หลักการทรงงานของสมเด็จย่า ที่มองคนเป็นคน ให้ความสำคัญกับโอกาสของคนในการเติบโต ไม่มีใครเป็นคนไม่ดี เขาแค่ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่ดี ดังนั้นการให้ความรู้ การสร้างความตระหนัก การอนุรักษ์ธรรมชาติ ทำให้มิติสังคม สิ่งแวดล้อม เติบโตไปด้วยกันเป็นสิ่งที่ยั่งยืน แล้วแนวคิดนี้พิสูจน์ตั้งแต่เราทำดอยตุงครั้งแรกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน

มาถึงจุดนี้ มองว่าถ้าเราเอาแนวคิดนี้ส่งต่อไปให้เอกชนทำแล้วขยายผลไปได้ ก็เท่ากับว่าหลักการทรงงานของสมเด็จย่า เป็นหลักการสากลที่ใช้ได้กับทุกพื้นที่ ทุกองค์กรคือทุกคนเข้าใจว่าต้องทำแบบนี้ แล้วทั้งโลกรู้ว่าต้องทำแบบนี้ และพยายามหาทางไปอยู่แล้วไปแล้วจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก”ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว 

ขอบเขตการทำงาน "ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน"

สำหรับขอบเขตงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (Sustainability Advisory) ที่มูลนิธิได้เริ่มทำแล้วเริ่มมีการพูดคุยกับบริษัทขนาดใหญ่หลายรายในเรื่องนี้ แต่ละบริษัทมีโจทย์ในการสร้างความยั่งยืนบนโจทย์ธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่ง  มูลนิธิฯ พร้อมนำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนแบ่งปันให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) ผ่านการเป็นที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการ โดยครอบคลุมประเด็น ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผ่านการวางแผนและทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ การทำระบบ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือ การเรียกคืนบรรจุภัณฑ์
  • ความหลากหลายทางชีวภาพและการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ ผ่านการประเมินและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกป่าและฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ 
  • การพัฒนาชุมชน ผ่านการทำความเข้าใจชุมชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การทำโครงการพัฒนาชุมชน
    เพื่อสร้างรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

36 ปี แม่ฟ้าหลวง ถอดสููตรสำเร็จงานพัฒนา   สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

การทำงานนี้มูลนิธิฯ คาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรและสร้างความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อให้เกิดความยั่งยืนในองค์กร รวมทั้งการขยายผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง

เพื่อช่วยแก้ไขและป้องกัน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงบรรเทาปัญหาของประเทศในด้านความเหลื่อมล้ำเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นตัวอย่างของการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมอย่างยั่งยืน