‘ไฟป่าลอสแอนเจลิส’ ครั้งใหญ่ ลมกระโชกแรง พัดไฟลามทั่วเมือง บ้านถูกเผานับพัน
“ลอสแอนเจลิส” กำลังเผชิญไฟป่าครั้งใหญ่ หลังเจอลมกระโชกแรง และภัยแล้ง พัดไฟลามทั่วเมือง อพยพคนนับแสน บ้านถูกเผานับพัน
“ลอสแอนเจลิส” กำลังเผชิญไฟป่าครั้งใหญ่ที่ยังคงโหมรุนแรง ยังไม่มีท่าทีว่าจะดับ ณ ข้อมูลวันที่ 10 ม.ค. 2568 เวลา 11:00 น. ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วเกือบ 40,000 เอเคอร์ ทำลายอาคารบ้านเรือนไปประมาณ 9,000 หลัง ประชาชนกว่า 130,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย
เหตุการณ์ไฟป่าในครั้งนี้เริ่มปะทุขึ้นในเช้าวันที่ 7 มกราคม 2568 เริ่มจากเกิด “ไฟป่าพาลิเซดส์” ทางฝั่งตะวันตกของลอสแอนเจลิส ทำลายพื้นที่ไปทะลุ 20,000 เอเคอร์ และทำลายอาคารบ้านเรือนไปนับหลัง และในคืนเดียวกันนั้นเองเกิด “ไฟป่าอีตัน” ลุกไหม้ใกล้กับพาซาดีนา เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วกว่า 13,690 เอเคอร์
ถัดมาในวันที่ 8 มกราคม 2568 เกิดไฟป่าลูกที่ 3 “ไฟป่าเฮิรสต์” ใกล้กับย่านชานเมือง ซิลมาร์เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วกว่า 855 เอเคอร์ ส่วน “ไฟป่าเคนเน็ธ” ไหม้พื้นที่ 791 เอเคอร์ ขณะที่ “ไฟป่าซันเซ็ต” ปะทุเมื่อเวลาประมาณ 17.45 น. และลุกไหม้ไปทางทิศใต้ใกล้กับถนนฮอลลีวูดบูเลอวาร์ด ทำให้บ้านของเซเลบริตี้และนักแสดงหลายคน เช่น ปารีส ฮิลตัน และไมลส์ เทลเลอร์ ถูกเผาวอดทั้งหลัง และงานออสการ์ต้องเลื่อนการประกาศผู้เข้าชิงรางวัลออกไป
แดเนียล สเวน นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) กล่าวระหว่างการถ่ายทอดสดเมื่อวันที่ 8 มกราคมว่า
“เหตุการณ์ครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นภัยพิบัติไฟป่าที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ แค่ไฟป่าพาลิเซดส์เพียงอย่างเดียวก็อาจกลายเป็นหายนะได้แล้ว”
“ไฟป่า” จากลมพัดแรง
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว “ฤดูไฟป่า” ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้จะกินเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม แต่การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่ลดลงทำให้ฤดูไฟป่ายาวนานขึ้น และคาดว่าฤดูกาลจะยาวนานขึ้นในอนาคต ในบางส่วนของรัฐเกิดไฟป่าตลอดทั้งปีอยู่แล้ว
“เราเจอไฟป่าตั้งแต่พฤศจิกายน ธันวาคม และตอนนี้ก็มกราคมก็ยังเกิดไฟป่าอยู่ ตอนนี้เราไม่มีฤดูไฟป่าแล้ว แต่เป็นไฟป่าทั้งปีแทน” แกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 มกราคม
สาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ไฟป่าในพื้นที่ลอสแองเจลิสลุกลามเกินการควบคุมก็คือ “ลมซานตาแอนา” (Santa Ana) พัดผ่านพื้นที่นี้ ซึ่งเป็นลมร้อนและแห้งที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ทะเลทรายและภูเขาเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัฐ
เมื่อลมพัดลงมาจากเทือกเขา ลมจะถูกอัดแน่นเนื่องจากความกดอากาศที่เพิ่มขึ้นและความอบอุ่นขึ้น ส่งผลให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศในทะเลทรายที่แห้งอยู่แล้วลดลง ทำให้พืชพรรณต่าง ๆ แห้งเร็วขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดไฟไหม้ได้
นอกจากนี้ ลมซานตาแอนาสามารถพัดแรงได้ถึง 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มีแรงพัดโหมกระพือให้กองไฟเล็ก ๆ ลุกลามได้และแพร่กระจายถ่านที่ลอยสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงไม่กี่วันก่อนเกิดไฟไหม้ กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติในลอสแองเจลิสได้เตือนว่าจะเกิด “ลมพายุที่อันตรายถึงชีวิตและทำลายล้าง” มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งของไฟป่ารุนแรงคือ หญ้า และพืชพรรณที่แห้งตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศในช่วงปี 2024 ที่แห้งแล้งมาก โดยตั้งแต่เดือนกันยายน เป็นต้นมา แคลิฟอร์เนียตอนใต้เผชิญกับฤดูหนาวที่แห้งแล้งที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ รวมถึงเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดครั้งหนึ่งที่มีการบันทึกไว้
เมื่อลมซานตาแอนามาเจอกับเชื้อเพลิงชั้นดีอย่างหญ้าแห้ง ก็ทำให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงดังที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งยากต่อการดับไฟ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ทำให้สภาพอากาศเลวร้ายลงจนเอื้อต่อการเกิดไฟป่าที่รุนแรงยิ่งขึ้นในแคลิฟอร์เนีย แต่นักวิจัยต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย เพื่อระบุให้แน่ชัดว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลส่งผลกระทบต่อไฟป่ามากน้อยเพียงใด
สเวน กล่าวว่า “สภาพอากาศที่แห้งแล้งไม่เพียงแต่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีข้อบ่งชี้มากมายว่าเราจะเจอกับสภาพอากาศสุดขั้วมากยิ่งขึ้น ฤดูร้อนก็จะร้อนกว่าเคย ฤดูหนาวมีแนวโน้มจะแห้งแล้งมากขึ้น รวมถึงปีที่ฝนตกชุกก็จะมีฝนตกมากกว่าเดิม”
สำหรับแคลิฟอร์เนียแล้ว สภาพอากาศสุดขั้วนี้ทำให้ไฟป่ารุนแรงขึ้น เนื่องจากในปีที่มีฝนตกชุกก็จะทำให้หญ้าและพุ่มไม้เติบโตมากขึ้นทั่วพื้นที่ของแคลิฟอร์เนียตอนใต้ แต่ปีถัดมาก็เจอกับความแห้งแล้ง และฤดูร้อนที่รุนแรงจนพืชเหล่านี้ล้มตายในที่สุด และกลายเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่า
“การสลับไปมาระหว่างสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และเปียกชื้นนี้ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟป่าในแคลิฟอร์เนียตอนใต้อย่างมาก” สเวนกล่าว
ควันจากไฟป่าลอสแอนเจลิสอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนนับล้านในภูมิภาคนี้ อนุภาคขนาดเล็กที่มาจากควันไฟป่าอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของแม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากไฟป่า ซึ่งอนุภาคเหล่านี้สามารถทำลายปอด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจวาย และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเมินว่าควันจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนียระหว่างปี 2008-2018 ทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง 55,700 ราย
หน่วยงานด้านสาธารณสุขของลอสแอนเจลิส กล่าวว่า ควันจากไฟป่าพาลิเซดส์ทำให้คุณภาพอากาศในลอสแอนเจลิสอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าควันไฟจะถูกลมพัดไปที่ใด และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใดบ้าง ดังนั้นมันทู เดวิสเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเทศมณฑลลอสแอนเจลิสจึงแนะนำให้ทุกคนตระหนักถึงคุณภาพอากาศในละแวกที่อยู่ พร้อมวางแผน และดำเนินการเพื่อปกป้องสุขภาพของคุณและครอบครัว
ควัน และเถ้าจากไฟป่าเป็นอันตรายต่อทุกคนได้ แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดี และยิ่งต้องป้องกันไม่ให้กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือปอด หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สูดควันพิษเข้าไป
ที่มา: BBC, Los Angeles Times, Science News
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์