เครื่องคัดขนาดหอยนางรม ลดเวลาทำงาน 50% เพิ่มคุณภาพ สร้างโอกาส

เครื่องคัดขนาดหอยนางรม ลดเวลาทำงาน 50%  เพิ่มคุณภาพ สร้างโอกาส

ปี 2030 คาดการณ์ว่าตลาดหอยนางรมทั่วโลกจะมีแนวโน้มที่สดใส มูลค่าทั่วโลกกว่า 2,021.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,218,855,000 บาท

KEY

POINTS

  • มูลค่าตลาดอาหารหอยนางรมทั่วโลกในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 876 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตไป

ปี 2030 คาดการณ์ว่าตลาดหอยนางรมทั่วโลกจะมีแนวโน้มที่สดใส มูลค่าทั่วโลกกว่า 2,021.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,218,855,000 บาท การนำเทคโนโลยีมายกระดับการทำเกษตรดั้งเดิมให้เป็นเกษตรที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกร เนื่องจากการเลี้ยงหอยนางรมแบบดั้งเดิมยังคงมีข้อจำกัดทั้งด้านผลผลิต คุณภาพ และต้นทุนการผลิต

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.ศรีวิชัย) พัฒนาระบบการเลี้ยงหอยนางรม โดยได้เปลี่ยนจากวิธีการแขวนหอยด้วยตะแกรงพลาสติกหลายชั้นมาเป็นการใช้ตะกร้าร่วมกับตะแกรง ซึ่งช่วยให้หอยเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ลดอัตราการตาย และเพิ่มจำนวนผลผลิต มากถึง 3-5 เท่า ในพื้นที่ขนาดเท่าเดิม ทำให้เปลือกหอยเรียบสวย เนื้อหอยมีขนาดสมบูรณ์ และสามารถส่งขายในตลาดพรีเมียมได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เปิดโรงงานใหม่ผลิตและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

'โปรตีนทางเลือก' กุญแจสำคัญในการลด PM2.5 -ป้องกันการเสียชีวิตกว่าแสนราย

การถ่ายทอดเทคโนโลยีและระบบการเลี้ยงหอยนางรม

เมื่อเร็วๆนี้  "ศุภชัย ใจสมุทร" ผู้ช่วยรมว.อว. ได้ติดตามขยายผลนวัตกรรมพร้อมใช้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมส่งมอบนวัตกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและมอบพันธุ์สัตว์น้ำให้กับชุมชน ณ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงประมงชายฝั่งบ้านหยงสตาร์ ตำบลท่าข้าม อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เพื่อสนับสนุนและยกระดับคุณภาพอาหารทะเลไทยสู่ตลาดพรีเมียมได้   

หนึ่งในการติดตามขยายผลนวัตกรรมพร้อมใช้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมคือ “การถ่ายทอดเทคโนโลยีและระบบการเลี้ยงหอยนางรมเพื่อสร้างอาชีพทางเลือกให้กับชุมชนชายฝั่งจังหวัดตรัง” ซึ่งการเลี้ยงหอยนางรมถือเป็นหนึ่งในอาชีพสำคัญของชุมชนชายฝั่งจังหวัดตรัง โดยเฉพาะในพื้นที่แม่น้ำปะเหลียนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยง

ปัญหาการคัดแยกขนาดหอยนางรมของเกษตรกรชายฝั่งจังหวัดตรังที่ผ่านมา ต้องอาศัยการกะด้วยสายตา ซึ่งส่งผลให้ขนาดหอยที่คัดออกมาขาดความสม่ำเสมอ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าและราคาจำหน่าย อีกทั้งการคัดแยกด้วยแรงงานคนยังใช้เวลานาน ทำให้ต้องเสียทั้งแรงงานและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงได้มีการส่งมอบเครื่องคัดขนาดหอยนางรม ช่วยลดระยะเวลาในการคัดแยกลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 

“ เครื่องคัดแยกขนาดหอยนางรม” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการคัดแยกขนาดหอยนางรมด้วยมือและการกะด้วยสายตา ทำให้ลดระยะเวลาได้มากถึง 50 % มามอบให้กับชุมชนบ้านหยงสตาร์เพื่อเสริมสร้างความรู้และสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มมากขึ้น  และพัฒนา ชุมชนบ้านหยงสตาร์เป็นชุมชนต้นแบบของการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมและพร้อมใช้มาประยุกต์เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน

พัฒนาเครื่องคัดแยกขนาดหอย  ลดภาระงานเกษตรกร

“ผศ.ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว” หัวหน้าโครงการ กล่าวว่าปกติชาวบ้านคัดแยกหอยนางรมโดยการกะด้วยมือและสายตาแล้วโยนคัดเเยก ทำให้ความสม่ำเสมอมาตรฐานของแต่ละเจ้าไม่เหมือนกัน ซึ่งใช้เวลาในการคัดหอยนางรม 400 ตัว ถึง 3 ชั่วโมง แต่เมื่อใช้เครื่องคัดแยกขนาดหอยนางรมใช้เวลาเพียง 2-3นาที ต่อหอยปริมาณ 30-40 ตัว สามารถลดระยะเวลาได้มากกว่า 50% อีกทั้งยังช่วยให้หอยที่คัดออกมามีขนาดที่เท่ากัน

การพัฒนาเครื่องคัดแยกขนาดหอย ไม่ใช่เพียงแค่การลดภาระงานของเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมหอยนางรมของจังหวัดตรังให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีมาตรฐานสูงขึ้นและสร้างมาตรฐานการคัดแยกให้เป็นที่ยอมรับในตลาด ซึ่งจะช่วยให้หอยนางรมจากจังหวัดตรังสามารถขยายตลาดไปได้กว้างขึ้น 

หอยนางรมหยงสตาร์ ส่งขายตลาดพรีเมียม

ตลาดหอยนางรมทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ Exactitude Consultancy บริษัทวิจัยตลาดและที่ปรึกษาทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มอุตสาหกรรม ระบุว่า มูลค่าตลาดอาหารหอยนางรมทั่วโลกในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 876 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 29,558,425,444 บาท) และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2,021.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 68,218,855,000 บาท) ภายในปี 2030 แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลก 

ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีบ้านหยงสตาร์ จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มศักยภาพของชาวประมงไทย โดยการใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องคัดขนาดหอยนางรม ที่ช่วยลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มคุณภาพสินค้าให้สามารถแข่งขันในตลาดพรีเมียมได้ดีขึ้น รวมถึงการสนับสนุนชุมชน ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดโดยตรง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ 

ด้วยปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมหอยนางรมในไทยจึงมีแนวโน้มที่ดี หากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะเลี้ยงและบริหารจัดการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ไทยอาจสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลในอนาคต 

“หยงสตาร์” โมเดลเศรษฐกิจชุมชน

บ้านหยงสตาร์ ตำบลท่าข้าม อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง กำลังถูกพัฒนาให้กลายเป็นต้นแบบโมเดลเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการเปลี่ยนแปลง “แพปูม้าสมสุข” ซึ่งเคยเป็นเพียงสถานที่รับซื้อและขายอาหารทะเลของชาวประมง ให้กลายเป็น “ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง” ต้นแบบโมเดลเศรษฐกิจฐานรากที่ผสมผสานองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมประมงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

เดิมทีแพปูม้าสมสุขเป็นจุดศูนย์กลางที่ชาวประมงนำ ปูม้า หอยนางรม และสัตว์น้ำอื่น ๆ มาจำหน่าย ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังตลาด แต่ด้วยแนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ที่แห่งนี้ จึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่เพียงแค่ซื้อขาย แต่ยังช่วยให้เกษตรกรและชาวประมงได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แปรรูปสินค้า และบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ 

ศูนย์แห่งนี้จึงทำหน้าที่คล้าย “Marketplace ชุมชน” เป็นจุดเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ ให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง และได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ เกษตรกร ชาวประมง และผู้ประกอบการในท้องถิ่น ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจร่วมกัน จะช่วยให้สามารถ เข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี การพัฒนาอาชีพ และช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ได้โดยตรง 

“ดร.อภิรักษ์ สงรักษ์” รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มทร.ศรีวิชัย กล่าวว่าแนวทางการพัฒนาแพปูม้าสมสุขว่า โมเดลเศรษฐกิจบ้านหยงสตาร์ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การจับสัตว์น้ำ แต่ต้องการให้เกิดการเพาะเลี้ยง และสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในชุมชน

ดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี แพปูม้าสมสุขแห่งนี้ เป็นผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ เป็นส่วนรวมของชุมชนหรือที่เราเรียกว่าเป็น Marketplace ของพื้นที่หลอมรวมให้ชาวบ้านเข้ามาในพื้นที่เพื่อแชร์ความรู้ และเพิ่มคุณภาพของสินค้า จะช่วยให้ชุมชนสามารถทำตลาดแบบ B2B (Business-to-Business) กับภาคปลายทาง ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ส่งผลให้ชาวบ้านมีอำนาจในการกำหนดราคาเอง ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของชุมชนในระยะยาว