ตลาดมอง ‘Apple’ ที่ไร้นวัตกรรม AI ไม่ต่างอะไรกับหุ้น Coca-Cola

ตลาดมอง ‘Apple’ ที่ไร้นวัตกรรม AI ไม่ต่างอะไรกับหุ้น Coca-Cola

หุ้น “Apple” มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อเผชิญมรสุมรุมเร้าและขาดจุดเด่น “นวัตกรรม AI” จนตลาดมองว่าไม่ใช่หุ้นเทคเติบโตสูงแล้ว แต่เป็นหุ้นคุณค่าที่ไม่ต่างจาก “โคคา-โคล่า”

KEY

POINTS

  • ปัจจุบัน Apple ถูกซื้อขายที่ P/E ราว 25 เท่าแทนแล้วคล้ายกับหุ้นค้าปลีกอย่าง Walmart แต่ Microsoft มี P/E ที่ 32 เท่า และ Nvidia ที่ 35 เท่า  
  • แม้ว่าล่าสุด Apple จะจับมือกับ AI Gemini ของ Google แล้ว แต่ที่ผ่านมา ยังขยับตัว “ช้ากว่า” บริษัทเทคโนโลยีคู่แข่งอย่าง Microsoft, Google, Meta, Tesla ฯลฯ
  • Apple ดูเหมือนเป็น “หุ้นคุณค่า” คล้าย Coca-Cola มากกว่าเป็นหุ้นเติบโตเร็ว 

มุมมองนักลงทุนต่อหุ้น “Apple” (แอปเปิ้ล) กำลังเปลี่ยนไป เมื่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐรายนี้ จากเดิมที่หุ้นถูกซื้อขายที่ระดับ P/E 30 เท่า แต่ในปัจจุบันกลับถูกลดความพรีเมียมลง อยู่ที่ P/E 25 เท่าสำหรับกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้าแทน ใกล้เคียง P/E ของหุ้นค้าปลีก Walmart และยังถูกมองว่าเหมือนหุ้น Coca-Cola มากกว่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยีโตเร็วด้วย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ “Apple” ครองตำแหน่งบริษัททรงคุณค่าระดับตำนาน เห็นได้จากการเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก มือถือ iPhone ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก และวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนสายเน้นคุณค่าของสหรัฐ ยังถือหุ้นตัวนี้มากที่สุดของพอร์ตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง Apple เผชิญมรสุมหลายอย่าง อย่างแรกคือ การเปลี่ยนผ่านบริษัทไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ว่าล่าสุดจะจับมือกับ AI Gemini ของ Google แล้ว แต่ที่ผ่านมา ยังขยับตัว “ช้ากว่า” บริษัทเทคโนโลยีคู่แข่งอย่าง Microsoft, Google, Meta, Tesla ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทยังเติบโตน้อยกว่าที่คาดด้วย โดยเฉพาะในตลาดจีน จากการที่ Huawei บริษัทโทรคมนาคมของแดนมังกร ชิงเปิดตัวมือถือสุดล้ำ “HUAWEI Mate 60 Pro” จนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่อาจสะท้อนการเข้าใกล้จุดอิ่มตัวของ Apple หรือไม่

Apple ดูคล้าย Coca-Cola มากกว่าหุ้นเทคฯ

ฟิล แบลนเคโท (Phil Blancato) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทจัดการสินทรัพย์ Ladenburg Thalmann กล่าวว่า Apple ดูเหมือนเป็น ‘หุ้นคุณค่า’ คล้าย Coca-Cola มากกว่าเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่เติบโตเร็ว ซึ่งหุ้นตัวนี้มีคุณสมบัติเชิงรับในยามที่ตลาดผันผวนและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามตลาด”

ส่วนเควิน วอล์คคุช (Kevin Walkush) ผู้จัดการบริษัทบริหารการลงทุน Jensen Investment Management ให้มุมมองว่า “ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการบริษัทที่เติบโตอย่างมั่นคง สม่ำเสมอ มีกำไรที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจผลิตกระแสเงินสดได้ และมีนวัตกรรมหลายอย่างแล้ว ‘Apple’ คือคำตอบ”

“ขณะเดียวกัน ถ้าคุณต้องการผลตอบแทนสูง Nvidia เป็นหุ้นที่ใช่มากกว่า อันได้รับอานิสงส์จากความต้องการชิปเพื่อประมวลผล AI” วอล์คคุชเสริม

มรสุมหลายด้านผลัก Apple ตกจากบัลลังก์อันดับ 1

นอกจากปัจจัยกดดันที่กล่าวไว้ข้างต้น ตัวแว่นเสมือนจริงอย่าง Apple Vision Pro ที่บริษัทคาดว่าจะเป็นตัวดึงรายได้โดยรวมให้ดีขึ้น กลับมีน้ำหนักมากเกินไป จนผู้ใช้ไม่สามารถสวมใส่ได้นาน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพัฒนาต่ออีกระยะหนึ่ง และไม่นานมานี้ ก็ประกาศยกเลิกการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ทุ่มเงินลงทุนไปไม่น้อยอย่างกะทันหัน

อีกทั้งเมื่อต้นเดือน มี.ค. Apple ยังถูกสหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับด้วยจำนวนเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์จากการปิดกั้นบริษัทคู่แข่งด้านสตรีมมิงเพลงในแพลตฟอร์ม และในสหรัฐ กระทรวงยุติธรรมใกล้จะยื่นสอบสวน Apple กรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หลังจากมีหลายบริษัทร้องเรียนว่า Apple จำกัดบทบาทแอปฯคู่แข่งใน iPhone และ iPad

จากปัจจัยกดดันหลายประการที่กล่าวมา จึงทำให้มูลค่าบริษัท Apple ในปีนี้ถูกแซงด้วยบริษัท Microsoft ไปแล้ว จากแต่เดิมที่เคยครองบริษัทอันดับ 1 ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกมาหลายสมัย โดย Apple มีมูลค่าตลาดราว 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วน Microsoft มีมูลค่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ และ Nvidia ผู้ผลิตชิปสำหรับ AI ก็ตามมาอยู่ในอันดับ 3 ที่มูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะที่ยอดขาย Apple ในปีงบประมาณ 2566 ได้ร่วงลง 3% และ Bloomberg คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2% ในปีนี้ ส่วนบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ถูกคาดหวังการเติบโตที่สูงกว่า โดย Nvidia ถูกคาดว่าจะโต 79% และ Microsoft โต 15% ในปีงบประมาณปัจจุบัน

ตลาดมอง Apple เหมือน “หุ้นคุณค่า” มากกว่า

จุดหนึ่งที่ชี้ว่าตลาดกำลังมอง Apple เหมือน “หุ้นคุณค่า” มากกว่า “หุ้นโตเร็ว” คือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Apple ถูกซื้อขายที่มูลค่าพรีเมียมคล้ายกับ Microsoft และช่วงที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญมรสุมดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น ราคาหุ้น Apple กลับไม่ได้ลงหนักมากนักเมื่อเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรม สะท้อนว่าตลาดกำลังให้มูลค่าพรีเมียมในช่วงนั้น โดยอยู่ที่ P/E 30 เท่า     

แต่เมื่อตัดภาพมาที่ปัจจุบัน Apple กลับถูกซื้อขายที่ P/E ลดลงไปที่ราว 25 เท่าสำหรับกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า คล้ายกับหุ้นค้าปลีกอย่าง Walmart แทนแล้ว 

ขณะ Microsoft มี Forward P/E ที่ 32 เท่า และ Nvidia ที่ 35 เท่า นี่อาจบ่งบอกมุมมองตลาดว่า Apple ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีโตเร็วเหมือนที่ผ่านมาแล้วหรือไม่

อ้างอิง: bloomberginvesting