ประธาน ตลท.ย้ำความเชื่อมั่นสื่อนอก เล็งแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจเอาผิดปั่นหุ้น
ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ย้ำความเชื่อมั่นกับสื่อนอก เล็งแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.เอาผิดเคสฉ้อโกง - ปั่นหุ้น - อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ฟื้นศรัทธาตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คนใหม่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 24 พ.ค.67 ว่า ประเทศไทยกำลังมีแผนที่จะเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยงานกำกับดูแลสอบสวนการกระทำความผิดทางอาญาในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังจากเรื่องอื้อฉาวหลายครั้งที่ผ่านมา ของบริษัทจดทะเบียนได้กัดกร่อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นายกิติพงศ์ กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดฯ ในครั้งนี้ จะให้อำนาจแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในการสอบสวนการกระทำที่ต้องสงสัยว่าผิดกฎหมาย โดยการแก้ไขดังกล่าวจะช่วยเร่งรัดการตั้งข้อหา และการลงโทษผู้ฝ่าฝืน
"เราต้องการแสดงให้เห็นว่าการลงโทษผู้กระทำผิดจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรงเพื่อทำให้พวกเขาหลาบจำ" "เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือ ความไม่ยุติธรรม" กิติพงศ์ซึ่งเป็นมือกฎหมายธุรกิจและอดีตประธาน บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ กล่าว
ทั้งนี้ ทางการไทยกำลังพิจารณาการแก้ไขกฎหมาย การควบคุมบริษัทจดทะเบียน และการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากเกิดกรณีการฉ้อโกงของบริษัทหลายครั้งซึ่งรวมถึงกรณีความผิดปกติของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงการกำกับดูแล หลังจากมูลค่าตลาดหุ้นไทยหายไปมากถึงราว 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากจุดพีกเมื่อปี 2566
นายกิติพงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ก.ล.ต. สามารถทำได้เพียงแจ้งตำรวจกรณีที่พบเหตุต้องสงสัยอาจเป็นความผิดทางอาญาในตลาดหุ้น เช่น อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง การปั่นหุ้น และการฉ้อโกงของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แต่โดยทั่วไปการสอบสวนจะใช้ระยะเวลานานเนื่องจากฝ่ายสืบสวนสอบสวนมีทรัพยากร และความเชี่ยวชาญที่จำกัด
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายเพื่อเสริมสร้างการกำกับดูแลตลาดทุน รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบและบทลงโทษ
ทั้งนี้ ดัชนี SET ปรับตัวลดลงเกือบ 4% แล้วในปีนี้ และถือเป็นหนึ่งในดัชนีที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดของเอเชีย หลังจากร่วงลง 15% ในปี 2566 โดยนักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้วเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มเติมจากที่ไหลออก 5.5 พันล้านดอลลาร์ ในปีก่อน ท่ามกลางปัญหาของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ที่ผิดนัดชำระหนี้เมื่อปีที่แล้ว หลังจากมีการเปิดเผยความผิดปกติทางบัญชี จนสร้างความเสียหายมูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านบาท และอดีตผู้บริหารหลายคนกำลังถูกดำเนินคดีอยู่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์