จับตา 3 แบงก์ชาติ 'เอเชีย' ประชุมวันนี้ ต่างชาติคาด ‘ไทย’ คงดอกเบี้ย
จับตาประชุม 3 แบงก์ชาติ 'เอเชีย' ของ ไทย , อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ วันนี้ ต่างชาติคาด กนง.คงดอกเบี้ย 2.5% นักวิเคราะห์มองเศรษฐกิจยังแข็งแรงจากกำลังซื้ออยู่ในเกณฑ์ดี พร้อมกังวลลดดอกเบี้ย กระตุ้นหนี้ครัวเรือนพุ่ง
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อเดือนที่แล้ว ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เช่น ไทย และมาเลเซีย โดยในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลาง 3 แห่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย , อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะจัดการประชุมนโยบายการเงินตรงกันในวันพุธที่ 16 ต.ค.67
คาด ‘ไทย’ คงดอกเบี้ย
หลังจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายเดือนส.ค. ผู้ส่งออกได้ร่วมกับรัฐบาลเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงจากระดับปัจจุบันที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับเดิมตั้งแต่เดือนก.ย. ปี 2566
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานผลการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ซึ่งคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธปท. จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยนักวิเคราะห์ 24 รายจากทั้งหมด 28 รายในการสำรวจคาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ในการประชุมวันที่ 16 ต.ค.67 ขณะที่อีก 4 รายคาดว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ประมาณครึ่งหนึ่งคาดว่า กนง.จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี 2567 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25% ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งเร็วกว่าผลการสำรวจในเดือนส.ค. ซึ่งระบุว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในไตรมาส 2/2568 โดยรอยเตอร์ทำการสำรวจนักวิเคราะห์จำนวน 28 รายในระหว่างวันที่ 7-10 ต.ค.67
อย่างไรก็ตาม อาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์อาเซียนจาก HSBC มองว่า ธนาคารกลางอาจยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงแล้ว พบว่าค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากจนกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ BMI คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งปัญหาความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้
HSBC มองว่ากำลังซื้อภายในประเทศยังคงดีต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 0.77% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งหมายความว่าราคาสินค้าโดยรวมไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำลังซื้อจะยังดีอยู่ แต่ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่สูงถึง 90.8% ของ GDP ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจ เพราะทำให้ผู้บริโภคมีภาระหนี้สินมากขึ้นและอาจลดกำลังซื้อในอนาคต ดังนั้น ธปท. จึงต้องระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปอาจกระตุ้นให้ประชาชนก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิม
“ปัญหาหนี้สินครัวเรือนเป็นหัวใจสำคัญที่นโยบายการเงินของประเทศไทยต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ในการแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”
มาโกโตะ ไซโตะ นักเศรษฐศาสตร์จาก NLI อธิบายว่า แม้มาเลเซีย และไทยจะมีเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แต่โอกาสในการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ยยังคงมีจำกัด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังไม่สูงมากนัก และเศรษฐกิจทั้งสองประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวจากการส่งออก
ในการประชุมเดือนกันยายน ธนาคารกลางมาเลเซียได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายข้ามคืนไว้ที่ 3% เป็นครั้งที่แปดติดต่อกัน โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับนี้จนถึงสิ้นปี 2568 จากนั้นจึงจะมีการปรับลดลงในปี 2569 ตามรายงานของ BMI ซึ่งระบุว่า ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและ มาเลเซีย จะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินริงกิตแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กราฟนี้แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศในอาเซียน 5 ประเทศในปี 2567 โดยเปรียบเทียบการคาดการณ์ในเดือนเมษายน และตุลาคม 2567
‘อินโดนีเซีย’ รอนโยบายคลังชัดเจน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ แม้ว่าเงินเฟ้อร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 โดยนักวิเคราะห์ 24 จาก 31 รายคาดการณ์ว่าแบงก์ชาติจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 6.00% ในการประชุมวันที่ 16 ต.ค.67
ปราโบโว สุเบียนโต ผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันอาทิตย์นี้ คาดว่าธนาคารกลางอินโดนีเซียอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในนโยบายการคลังของรัฐบาลชุดใหม่ก่อน
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ 12 จาก 20 รายคาดว่า แบงก์ชาติอินโดนีเซียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภคร่วงลงสู่ระดับ 1.84% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 และอยู่ภายในกรอบเป้าหมาย 1.5-3.5% ตลอดทั้งปีนี้
อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียในเดือนกันยายน ลดลงเหลือ 1.84% จาก 2.12% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 ทำให้ ยูซุฟ เรนดี มานิเลต นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่านี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา คล้ายกับช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19
"นักลงทุนกำลังอยู่ในโหมด 'รอและดู' โดยรอดูการบริหารชุดใหม่ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นอีกของธนาคารกลางอินโดนีเซีย" เขาสังเกตว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างกะทันหันจาก 6.25% เหลือ 6% นอกจากนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ เพื่อจัดหาเงินทุนที่เหมาะสมให้กับธุรกิจต่างๆ ในการขยายกิจการในไตรมาสที่ 4" มานิเลตกล่าว
‘ฟิลิปปินส์’ ลด 0.25%
จากการสำรวจล่าสุดของสำนักข่าวรอยเตอร์ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จากทั้งหมด 23 คนคาดว่า ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เหลือ 6% ในวันนี้ และคาดว่าจะมีการปรับลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม
อนินดา มิตรา จาก BNY Mellon Investment Management คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ สาเหตุหลักมาจากราคาวัตถุดิบอย่างข้าวที่ตกต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 6.3% ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีที่ขยายตัว 6.4% สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ แม้จะมีปัจจัยกดดันจากการบริโภค
การเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในไตรมาสล่าสุดได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาล แต่การใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับหดตัวลง โดย อาร์เซนิโอ บาลิซากัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า ผู้บริโภคกำลังเผชิญกับความยากลำบากจากผลกระทบของนโยบายการเงินที่เข้มงวด และอัตราเงินเฟ้อที่สูง
เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของ GDP การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งการเติบโตของการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงเหลือเพียง 4.6% ต่อปีในไตรมาสที่สอง สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น
‘เงินเฟ้อ’ กระทบกำลังซื้อ
เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ธนาคารกลางในอาเซียนจึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่ออุปสงค์ภายในประเทศเนื่องจากเงินเฟ้อกระทบต่อกำลังซื้อ
ขณะเดียวกัน ค่าเงินในภูมิภาคที่อ่อนค่าลงก็ทำให้ภาระหนี้สินที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซบเซาลง และนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนจากประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย และไทย
ในปีนี้ กระแสการดำเนินดอกเบี้ยนโยบายเริ่มเปลี่ยนทิศทางด้วยสองปัจจัยหลักคือ อัตราเงินเฟ้อที่เริ่มทรงตัว และการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินในภูมิภาคตั้งแต่เดือนก.ค. หลังจากการคาดการณ์ว่าสหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้สกุลเงินของมาเลเซีย และไทย แข็งค่าที่สุดในภูมิภาคเมื่อเทียบกับดอลลาร์โดยแข็งค่าขึ้นประมาณ 6.5% และ 3% ตามลำดับ
โหลว ชิเฉิง นักวิเคราะห์ความเสี่ยงของประเทศจาก BMI ของ Fitch Group มองว่า ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นรอบความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อาจทำให้ผู้กำหนดนโยบายใช้ความระมัดระวังมากขึ้น และผ่อนปรนนโยบายลงอย่างช้าๆ อีกด้านหนึ่งคือ อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ประกอบกับการที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในเดือนกันยายน ทำให้มีช่องว่างในการผ่อนคลายนโยบายลงอย่างเข้มข้นมากขึ้น
อ้างอิง Nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์