Non-ฺBank Sector หนทางยังไม่ราบรื่นนักในระยะสั้น
แนวโน้มระยะสั้นของกลุ่มนอนแบงก์ยังคงถูกกดดันด้วยเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งหลังจากที่เราได้คุยกับผู้บริหารของบริษัท ชี้เห็นว่า NPL ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากใน 2Q65 จะยังสูงขึ้นต่อไปอีกใน 3Q65
โดยหนี้เสียที่ยังสูงมาจากสินเชื่อไหลจากหนี้ปกติ (หนี้ชั้น 1) มาเป็นหนี้ที่เริ่มมีการค้างชำระ (หนี้ชั้น 2) และเป็นหนี้ชั้น NPL (หนี้ชั้น3 ) เนื่องจาก i) ลูกหนี้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือช่วงโควิดไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายหลังหมดมาตรการช่วยเหลือ และ ii) หนี้เสียใหม่ที่จากลูกหนี้ใหม่กลุ่มรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบช่วงเงินเฟ้อ/ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ในการบริหารจัดการหนี้ทำให้บริษัทต้องเพิ่มผลตอบแทนเพิ่มเห้พนักงานในการติดตามหนี้เสีย ทำให้ค่าใชจ่ายดำเนินงานสูงขึ้น และยังต้องตั้งสำรองฯ หนี้เสีย (credit cost) เอาไว้ในระดับสูงเพื่อบริหารจัดการ NPL
MTC HENG SAK จะถูกกดดันมากขึ้น
ในบรรดาหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ MTC จะเผชิญแรงกดดันมากที่สุด รองลงมาคือ SAK และ HENG เนื่องจากมี NPL เกิดใหม่จำนวนมาก จากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ ทั้งนี้ เนื่องจากสามบริษัทนี้มีส่วนรองรับหนี้เสียต่ำ MTC จะถูกกดดันจาก credit cost ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รองลงมาคือ SAK และ HENG อย่างไรก็ตาม TIDLOR มีส่วนสำรองหนี้เสียฯส่วนเกินสูงซึ่วช่วยรองรับหนี้เสียได้ดีกว่า และสามารถหารายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มจากธุรกิจประกันได้ ส่วน SAWAD ก็ไม่น่ากังวลมากเช่นกันเพราะมีสัดส่วนเชื่อจำนำทะเบียนให้กลุ่มลูกค้าระดับล่างมากน้อย และเปลี่ยนไปปล่อยสินเชื่อลิสซิ่งรถมอเตอร์ไซค์แทน ซึ่งทำให้
สามารถคิดดอกเบี้ยเงินกู้ได้สูงกว่าสินเชื่อจำนำทะเบียน เราคาดว่า SINGER จะเติบโตได้ในตลาดเฉพาะตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้า และจะสร้าง synergy ได้จากการผนึกพันมิตรกับกลุ่ม JMART ในการขยายสายการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า
KTC เผชิญความท้าทายจากการขยายธุรกิจ ในขณะที่ AEONTS จะเติบโตจากธุรกิจในภูมิภาค
KTC สามารถบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้แต่แนวโน้มการเติบโตยังคงถูกกดดันอยู่ต่อไป การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้นั้น KTC จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม และอัดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้พนักงานของ KTB ช่วยขยายธุรกิจใหม่ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงต้นของการเติบโต ในขณะเดียวกัน AEONTS จับกลุ่มสินเชื่อ P-loan และบัตรเครดิตของผู้มีรายได้ต่ำซึ่งมีภาระหนี้เต็มตัวอยู่แล้ว ดังนั้น การเติบโตจึงน่าจะมาจากธุรกิจต่างประเทศในกลุ่ม CLMV
มองหาจุดตํ่าสุดในไตรมาส 3/65
เราพิจารณาดึงปัจจัยบวก ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ 2) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 3) เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่คำนึงถึง ปัจจัยลบได้แก่ 1) คุณภาพสินทรัพย์แย่ลง และหนี้เสียเพิ่มขึ้นใน 3Q65 2) ส่วนรองรับหนี้เสียค่อนข้างต่ำ 3) เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เรามองว่ากลุ่มนอนแบงก์จะเผชิญแรงกดดันอีก 1 ไตรมาส ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาส 4/65 เนืองด้วยราคาที่ซื้อขาย PE ต่ำ ยังจึงคงคำแนะนำ Overweight
Risk
แรงกดดันทางด้านของ Yield, ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น, NPLs เพิ่มขึ้น