CKP - กำไรจะทำจุดสูงสุดใน 3Q (27 ต.ค. 2565)

CKP - กำไรจะทำจุดสูงสุดใน 3Q (27 ต.ค. 2565)

กำไรใน 3Q22 จะทำสถิติสูงสุดที่ 1.38 พันล้านบาท (+12% yoy, +60% qoq) เนื่องจากปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน เรามองเห็นความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดภาวะ El Niño ในปีหน้า

ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ และประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 5.50 บาท จากเดิม 6.50 บาท หลังจากที่ปรับ WACC ใหม่เพื่อสะท้อนดอกเบี้ยที่กำลังขยับขึ้นในตลาดการเงิน

 

กระแสน้ำแข็งแกร่งในเดือนกันยายน

กระแสน้ำที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และกระแสน้ำเข้าเขื่อนที่โครงการน้ำงึม 2 เพิ่มขึ้นถึง 70% และ 53% yoy เป็น 6,642 CMS (ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) และ 715 MCM (ล้านลูกบาศก์เมตร) ในเดือนกันยายนตามลำดับ โดยใน 3Q XPCL เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตทำให้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 29% yoy หรือ 21% qoq เป็น 2,678GWh ในขณะเดียวกัน การผลิตไฟฟ้าที่โครงการ NN2 อยู่ที่ 564GWh เพิ่มขึ้น 3% yoy หรือ 44% qoq ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรใน  3Q22 จะทำสถิติสูงสุดที่ 1.38 พันล้านบาท (+12% yoy, +60% qoq)

 

ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการเพิ่มทุนของโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง

บริษัทประกาศว่าจะเข้าซื้อหุ้นใหม่ของ Luang Prabang Power Company Limited (LPCL) ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 50% ในจำนวนไม่เกิน 2.16 หมื่นล้านบาท เราคาดว่า EBITDA ต่อปีที่ 4.0 พันล้านบาทเพียงพอที่จะสนับสนุนโครงการนี้ โดย CKP มี EBITDA มากพอที่จะมาใช้เพิ่มทุนดังกล่าวได้ เนื่องจากจะทยอยใส่เงินทุนในอีก 7 ปีข้างหน้า

 

 

 

มีความน่าจะเป็นมากขึ้นที่จะเกิดภาวะ El Niño

ถึงแม้จะมีความน่าจะเป็นเกิน 50% ที่จะเกิดภาวะ La Niña ตามการพยากรณ์ของ ENSO Forecast ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขณะที่แนวโน้มหลักปี 2023 จะมีสภาพอากาศแบบเป็นกลาง (Neutral) แต่เราพบว่ามีความน่าจะเป็นมากขึ้นที่จะเกิดภาวะ El Niño ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2023

 

ปรับคำแนะนำเป็น ถือ และลดราคาเป้าหมายเป็น 5.50 บาท (จาก 6.50 บาท)

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี FY22F และ FY23F ขึ้นอีก 24% และ 9% เป็น 2.5 พันล้านบาท และ 2.23 พันล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่ปรับเพิ่มสมมติฐาน capacity factor เพื่อสะท้อนถึงปริมาณฝนที่ตกเพิ่มขึ้นในปีนี้ รวมถึงปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนน้ำงึม 2 ที่เพิ่มขึ้น แต่เราปรับลดราคาเป้าหมายลงจากเดิมที่ 6.50 บาท เหลือ 5.50 บาท เนื่องจาก (1) เราปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC จากเดิม 3.7-4.1% เป็น 4.4-4.9% เพื่อสะท้อนถึงการขึ้นดอกเบี้ยในตลาดการเงิน (ปรับ risk free rate จาก 1.5% เป็น 3.5% และปรับ risk premium จาก 6.5% เป็น 8.0%) และ (2) อายุสัมปทานของโรงไฟฟ้าที่ลดลงในแต่ละปี