AUTOMOTIVE SECTOR - ยอดผลิตที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนกำไร 3Q
สอท. รายงานยอดผลิตรถยนต์ใน 3Q เพิ่มขึ้น 34% yoy เป็น 493,926 คัน เราคาดว่ากำไรปกติของ AH และ SAT ใน 3Q จะอยู่ที่ 332 ล้านบาท (+162% yoy, +18 qoq) และ 240 ล้านบาท (+12% yoy, +15 qoq) ตามลำดับ
แต่กำไรของ SAT จะโตต่ำกว่าอุตสาหกรรมเนื่องจากยอดการผลิตรถแทรคเตอร์ลดลง เราเลือก AH เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม
ยอดผลิตรถยนต์รวมพุ่งสูงขึ้น 28% yoy ในเดือนกันยายน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) รายงานว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทย พุ่งสูงขึ้น 28.0% yoy ในเดือนกันยายนเป็น 179,237 คัน เนื่องจาก 1) อุปสงค์แข็งแกร่ง และ 2) ผลจากฐานที่ต่ำ (มีการใช้มาตรการ lockdown เต็มที่ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2021) โดยยอดผลิตรถยนต์ดังกล่าวยังเพิ่มขึ้น 4% mom หนุนโดยการออกรถกระบะรุ่นใหม่ทั้งในตลาดไทยและตลาดส่งออก ประกอบกับปัญหาขาดแคลน chip ที่คลี่คลายลงไปก็น่าจะเป็นแรงส่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาส พบว่ายอดผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 34% yoy (27% qoq) เป็น 493,926 คัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากยอดผลิตรถกระบะขนาด 1 ตันที่เพิ่มขึ้นถึง 53% yoy (29% qoq) ในขณะที่ยอดผลิตรถยนต์นั่งโดยสาร (passenger car) เพิ่มขึ้นในอัตราต่ำกว่าที่ 14% yoy (33% qoq)
ผลประกอบการ 3Q น่าจะดีขึ้นทั้ง yoy และ qoq
ในแง่ของวัตถุดิบ เราคาดว่าราคาเหล็กรีดร้อน (Hot Rolled Coil หรือ HRC) จะทรงตัว หรือลดลงใน 2H เนื่องจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ โดยราคาเหล็กลดลงมาแล้วถึง 53% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ประมาณ USD1,529/ton มาอยู่ที่ USD710 ซึ่งจะทำให้กำไรใน 2H แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับ 1H นอกจากนี้ เรายังคาดว่ากำไรใน 3Q จะดีขึ้นทั้ง yoy และ qoq เนื่องจาก 1) ฐานที่ต่ำใน 3Q21 เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงในช่วงที่มีการใช้มาตรการคุม COVID-19 และ 2) อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นใน 3Q22 เมื่อเทียบกับ 2Q22 (มีวันหยุดมากกว่า โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์) เราคาดว่ากำไรปกติของ AH และ SAT ใน 3Q จะอยู่ที่ 332 ล้านบาท (+162% yoy, +18 qoq) และ 240 ล้านบาท (+12% yoy, +15 qoq) ตามลำดับ แต่กำไรของ SAT ใน 3Q จะโตต่ำกว่าอุตสาหกรรมเนื่องจากยอดการผลิตรถแทรคเตอร์ลดลง 24% qoq เหลือ 20,000 คัน (ทั้งนี้รายได้ของ SAT จากธุรกิจในภาคเกษตรคิดเป็น 20% ของยอดขายรวม)
แนวโน้มกลุ่มยานยนต์เป็นบวก
เรายังคงคำแนะนำซื้อทั้ง AH (ราคาเป้าหมาย 36 บาท) และ SAT (ราคาเป้าหมาย 26 บาท) เนื่องจาก 1) อุปสงค์กำลังฟื้นตัวขึ้น และ 2) สถานการณ์ขาดแคลน chip คลี่คลายลงใน 2H เพราะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา และอุปสงค์ชะลอตัวลงจากการสิ้นสุดช่วงของการทำงานจากที่บ้าน เราให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ Overweight โดยเลือก AH เป็นหุ้นเด่นของเรา เนื่องจาก 1) มีความยืดหยุ่นมากกว่าเพราะสามารถปรับราคาขายภายในหนึ่งไตรมาส และ 2) ฐานลูกค้าที่มีลักษณะกระจายตัวมากกว่าซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดขายชิ้นส่วนรถ EV