หุ้นไทยปีนี้บวกแค่ภาพลวงตา ควรเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวมากกว่า SET Index
ธีมหุ้นที่มีโอกาส Outperform ตลาดระยะสั้น คือ 1. หุ้นงบ Q3 ออกมาดี แนวโน้ม Q4 ดีต่อ และตลาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น 2. หุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นเป้าเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีไหลเข้าปลายปีนี้ 3. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า และ 4. รัฐเตรียมกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อเป็นของขวัญช่วงปีใหม่
เข้าสู่เดือน พ.ย. SET Index เคลื่อนไหวพักฐานต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วตามที่สำนักวิจัยทิสโก้ประเมินไว้ จากความกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และการประกาศผลประกอบการ Q3 ที่โดยรวมออกมาไม่ดี อย่างไรก็ดี หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด SET Index ถือว่าอ่อนแอกว่าคาด เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่บางตัว ทำให้ภาพรวมตลาดยังดูดีกว่าความเป็นจริง หากไม่รวมความเคลื่อนไหวของหุ้น 3 ตัว คือ DELTA, GULF และ INTUCH ภาพจริง ๆ ของ SET Index จะให้ผลตอบแทน -3.3% ในเดือน พ.ย. (MTD, ข้อมูล ณ 15 พ.ย.) และ -5.5% ในปีนี้ (YTD) vs ภาพ SET Index ปัจจุบันที่ -1.6% และ +1.9% ตามลำดับ ดังนั้น SET Index ในความเป็นจริงจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 1,400 ไปแล้ว
หลังผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา การเมืองสหรัฐฯ บ่งชี้สถานการณ์พรรครีพับลิกันควบอำนาจทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและสภาคองเกรส (รวบอำนาจทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) ตลาดมีการประเมินกันว่าการลดภาษีและการยกเลิกกฎระเบียบจะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025F ดีขึ้นจากคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2.0% (+/-) เป็น 2.3% หรือมากกว่านั้น (+0.3 ppt) อานิสงส์จากความต้องการภายในประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั้งการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุน แต่คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจปี 2026F อาจชะลอลงเหลือโตประมาณ 2% +/- จากผลกระทบจากการทำสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นสำคัญ
ด้านการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดือนหน้า สำนักวิจัยทิสโก้ยังคงคาดว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อได้ -25 bps เป็น 4.25-4.5% เช่นเดียวกับ FedWatch Tool ที่ประเมินโอกาส FED จะลดดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 60% แต่การประเมินดังกล่าวยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ที่จะมีเปิดเผยในวันที่ 6 ธ.ค. และ 11 ธ.ค. ตามลำดับ คาดจะเป็นตัวเลขสุดท้ายที่มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของ FED ก่อนการประชุมเดือนหน้า อย่างไรก็ดี ด้วยแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีความเสี่ยงด้านสูงเพิ่มขึ้น (Upside Risk) อาจทำให้การลดดอกเบี้ยของ FED ทำได้น้อยลงกว่าเดิมในช่วง 2-3 ปีหน้าจากคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ย (Dot Plot) ในเดือน ก.ย. ที่บ่งชี้ว่า FED จะมีอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (Terminal Rate) อยู่ที่ 2.75-3.0% อาจเป็น Terminal Rate ที่ 3.75-4.0% (หรือสูงขึ้นกว่าเดิม 1%)
ภาพรวมงบ 3Q24 ของบจ.ไทยแย่กว่าคาด มีกำไรสุทธิรวม 2.07 แสนล้านบาท หดตัวแรง -24% YoY, -19% QoQ ถูกกดดันจากการลดลงของกำไรในกลุ่ม ENERG และ CONMAT รวมทั้งกลุ่ม PETRO พลิกมีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสนี้ หากเปรียบเทียบกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ประกาศออกมากับประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) สัดส่วนต่ำกว่าคาดสูงที่สุดที่ 37% ขณะที่สัดส่วนดีกว่าคาดและตามคาดอยู่ที่ 29% และ 34% ตามลำดับ
ในเชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้อยากให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนหุ้นรายตัวมากกว่าที่จะดูที่ระดับ SET Index เนื่องจากช่วงนี้ให้ภาพที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงอยู่มาก สำนักวิจัยทิสโก้มองการพักฐานของตลาดหุ้นไทยเป็นจังหวะในการทยอยสะสม คาดหวังเชิงบวกจากโมเมนตัมเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน้อยจนถึงไตรมาส 1 ปี 2025 อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล (คาดแจกเงินหมื่นเฟส 2 ผู้สูงอายุ, ของขวัญปีใหม่) และแรงหนุนการท่องเที่ยวเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ผสานกับเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะไหลเข้าและมากสุดในเดือน ธ.ค. นี้ โดยปีนี้คาดว่าจะไหลเข้ามากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากกองทุนลดหย่อนภาษี TESG ได้เพิ่มลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาท เป็น 3 แสนบาทเป็นปีแรก น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับธีมหุ้นที่สำนักวิจัยทิสโก้มองมีโอกาส Outperform ตลาดในระยะสั้น คือ 1. หุ้นงบ Q3 ออกมาดี แนวโน้ม Q4 ดีต่อ และตลาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น 2. หุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นเป้าเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีไหลเข้าปลายปีนี้ 3. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า และ 4. รัฐเตรียมกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อเป็นของขวัญช่วงปีใหม่