PTT - กำไร 3Q ถูกฉุดโดยธุรกิจก๊าซ, ปิโตรเคมี, โรงกลั่น และขายปลีกน้ำมัน
กำไรสุทธิ 3Q อยู่ที่ 8.9 พันลบ. (EPS 0.31 บาท) -77% qoq -62% yoy ผลประกอบการที่ต่างจากประมาณการของเราเป็นเพราะผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมี และ โรงกลั่น (P&R) กับน้ำมัน และค้าปลีก อ่อนแอลง
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซก็อ่อนแอเพราะปริมาณยอดขายก๊าซลดลง (-5% qoq), ต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้น, ราคาผลิตภัณฑ์อ้างอิง (HDPE) ลดลง, และมีการปิด GSPs ดังนั้น EBITDA ของทั้งเครือจึงลดลง 50% qoq เหลือ 9.2 หมื่นล้านบาท โดย EBITDA จากธุรกิจ P&R พลิกเป็นขาดทุน 556 ล้านบาท จากที่มีกำไร 6.97 หมื่นล้านบาทใน 2Q ในขณะที่ EBITDA จากธุรกิจน้ำมัน และค้าปลีกลดลง 73% (เหลือ 2.8 พันล้านบาท) และ 70% (เหลือ 6.9 พันล้านบาท) qoq ทั้งนี้ ธุรกิจน้ำมัน และค้าปลีกมีผลขาดทุนจากสต็อก 5 พันล้านบาทใน 3Q จากที่มีกำไร 3.6 พันล้านบาทใน 2Q ในขณะที่ผลขาดทุนจาก NGV ในระดับ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 4.2 พันล้านบาทจากที่ขาดทุน 2.4 พันล้านบาทใน 2Q เนื่องจากต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้น และมีการตรึงเพดานราคาขายเอาไว้ (ที่13.60 บาท/กก. สำหรับรถแท็กซี่ และ 16.60 บาท/กก. สำหรับรถประเภทอื่นจนถึงเดือนธันวาคม 2022) นอกจากนี้ PTT ยังบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.0 หมื่นล้านบาท จากที่ขาดทุน 1.30 หมื่นล้านบาทใน 2Q
คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นใน 4Q
เราคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นเพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นใน 4Q ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธุรกิจ P&R กับธุรกิจ น้ำมัน และค้าปลีก ส่วนธุรกิจก๊าซน่าจะยังอ่อนแอตามยอดขายก๊าซที่อ่อนแอตามฤดูกาล, ต้นทุนก๊าซที่สูง และยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากธุรกิจ NGV ในขณะเดียวกัน เราคาดว่า utilization ของ GSPs น่าจะดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 78-80% จาก 69.6% ใน 3Q
แนะนำ ซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายที่ 42 บาท
ราคาเป้าหมาย SoTP ของเราคิดเป็น PE ปี FY23F ที่ 9.3x ในขณะที่ราคาหุ้น PTT ในปัจจุบันมี discount จาก NAV ถึง 38% ซึ่งสูงกว่า discount เฉลี่ยในรอบหกปีที่ผ่านมาที่ 15%