ติดตามตัวเลขส่งออกสัปดาห์หน้า ขณะที่ปัจจัยภายนอกไม่น่ามีอะไรใหม่จนสิ้นปี
การขยับตัวของ BOJ ทำให้เงินทุนไหลออกจากพันธบัตรส่งผลบวกต่อหุ้น การขยับกรอบการดำเนินนโยบายควบคุมผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control: YCC) ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของตราสารหนี้ทั่วโลกขยับขึ้น
ส่งผลให้เงินไหลออกจากตราสารหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบางส่วนไหลเข้าหุ้นได้ ทั้งนี้เรายังคงมุมมองการดำเนินนโยบายดังกล่าวของ BOJ ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างไรก็ตามต้องติดตามผลของการทยอยยกเลิกสถานะกู้เยนไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น (Unwind yen carry trade) ซึ่งการไหลกลับของเงินกู้ดังกล่าวอาจทำให้เงินเยนแข็งค่าต่อเนื่องไปอีกระยะ ซึ่งในมุมลบอ่าจทำให้ตลาดผันผวน แต่ในมุมบวกการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหนุนเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดเกิดใหม่
เศรษฐกิจถดถอย vs การเปิดประเทศของจีน ความเสี่ยงหลักของตลาดทุนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เปลี่ยนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลาง มาสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การทยอยเปิดประเทศของจีน จะช่วยหักล้างความเสี่ยงดังกล่าวได้ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้นอกจากภาพการลงทุนของหุ้นเปิดเมืองที่มีโมเมนตัมกำไรฟื้นตัว เรามองตลาดจะเริ่มมองไปยังกลุ่มที่กำไรมีความแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานการชะลอตัวของภายนอก อาทิ กลุ่มไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ขณะที่หากการเปิดเมืองของจีนดำเนินไปได้ต่อเนื่อง เรามองกลุ่มที่มีการถือครองต่ำมากๆ อย่าง บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และปิโตรเคมี (Petrochem) อาจเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้
ประเด็นลงทุนที่น่าสนใจ 1) ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและเปิดเมือง BBL, SCB, MINT, SPA, VRANDA, TNR, KISS, CPN, CRC, CPALL, MAKRO, MAJOR 2) การขายไฟพลังงานทดแทน 5200MW GULF, GUNKUL, BCPG, SSP 3) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุด ADVANC, EGCO, RATCH 4) อสังหาริมทรัพย์ SPALI, AP, LH, ASW 5) หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ STP, TNR, DMT, TVDH, KLINIQ, FLOYD
ภาพรวมกลยุทธ์: เคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,618 จุด ก่อนเลือกข้าง กลยุทธ์ในภาพใหญ่ไม่เปลี่ยน คือ เน้นกลุ่มหุ้นเปิดเมือง และบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ สอดรับกับการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อาจจะ peak แล้ว หรือขึ้นได้จำกัด จะบวกต่อการฟื้นของหุ้นปลอดภัย โดยเฉพาะไฟฟ้า (เสนอขายไฟฟ้าหมุนเวียนรอบใหม่) ปัจจัยเฝ้าระวังที่สำคัญคือ ตัวเลขส่งออก พ.ย.ที่จะออก 26 ธ.ค.อาจติดลบระดับ 15-20% //หุ้นแนะนำ: VRANDA, BGRIM, ASW, KSL
แนวรับ: 1,580-1,600 / แนวต้าน : 1,625-1,630 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
สหรัฐเผยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง 9.1% ในไตรมาส 3 - สู่ระดับ 2.171 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2564
สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 10 – ดิ่งลง 7.7% สู่ระดับ 4.09 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. MoM ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.17 ล้านยูนิต ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน
Conference Board เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งเกินคาดในเดือนธ.ค. - ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 108.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 100.5 จากระดับ 101.4 ในเดือนพ.ย.
โกลด์แมน แซคส์ ชี้ BOJ อาจยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในไม่ช้า - คาดว่า มาตรการครั้งต่อไปของ BOJ อาจจะเป็นการยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ
MAKRO กระจายหุ้น Free Float ครบตามเกณฑ์ - ดันสัดส่วนรายย่อยถือ 15.04%
VRANDA Opp Day – รร.ในกทม. อย่าง SO Bangkok ฟื้นตัวเด่น และ turnaround ได้ คาดปี 2023 จะกลับไปเหนือกว่าระดับ pre-covid ด้วย Occ rate ที่สูงกว่าระดับ 80% ขณะที่รายได้โรงแรมใน 4Q22 ทะลุระดับ pre-Covid ใน 4Q19 ได้แล้ว ณ วันที่ 15 ธ.ค.
STARK ซื้อหุ้นคืนหลังล้มดีล ลีโอนี – คน PP ไปขาดทุนหนักจากราคา PP 3.72 บาท
CPN เตรียมเปิด Mixed-Use Lifestyle Destination - โครงการ Marche Thonglor ใหญ่และครบครันที่สุดใจกลางทองหล่อ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท
NBC เปลี่ยนชื่อเป็น คิง เจน - ชื่อย่อ KGEN มีผล 26 ธ.ค.65
หุ้น IPO เทรดวันแรก – MOSHI หรือ โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น ราคา IPO 21 บาท
ตลท.ให้ JTS ใช้ Cash Balance - ตั้งแต่ 22 พ.ย.65-11 ม.ค.66
Opportunity day: 22 ธ.ค. – ECF, NNCL, SKE, SALEE, JSP / 23 ธ.ค. – NV, DUSIT, ARROW, FVC, DHOUSE, PTC, TKT
ประเด็นติดตาม: 22 ธ.ค. – US GDP Q3 / 23 ธ.ค. – US Core PCE Price Index, US New Home Sales, US Core Durable Goods Orders / 28 ธ.ค. – US Pending Home Sales
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)