JMART ต้องการเวลาเพื่อปรับธุรกิจให้นิ่งขึ้น
การลงทุนใหม่ๆ จะยังไม่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำในระยะสั้น
JMART ผนึกพันธมิตรใหม่ผ่านการเพิ่มทุน และจัดสรรหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง )PP ให้กับบริษัทลูกของ (BTS ในปี 2564 โดยกลุ่ม BTS ใส่เงินทุนเข้ามาประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมการแปลง warrant) แบ่งเป็น JMART และ SINGER บริษัทละ 1.05 หมื่นล้านบาท ซึ่ง SINGER ใช้เม็ดเงินใหม่ในการขยายสินเชื่อ ในขณะที่ JMART ใช้เงินประมาณครึ่งหนึ่งในการเพิ่มทุนให้กับ JMT และอีกครั้งหนึ่งเพื่อการลงทุนอีกหลายรายการ ได้แก่ 1) 1.2 พันล้านบาทเพื่อซื้อหุ้น 30% ในสุกี้ตี๋น้อย 2) 400 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้น 9.3% ใน BRR 3) 50 ล้านบาทเพื่อตั้งบริษัทใหม่สำหรับทำธุรกิจ solar rooftop ร่วมกับ GUNKUL และซื้อหุ้น 15% ใน PRTR
มีเพียง JMT เท่านั้นที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2566F/2567F
ในบรรดาการลงทุนใหม่ ๆ ที่ JMART ใส่เงินลงทุนเข้าไป เราคิดว่ามีเพียง JMT เท่านั้นที่ดูดีกว่าเพื่อนและจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับ JMART ได้ในปี 2566/2567 ทั้งนี้ เนื่องจาก JMT สามารถทำกำไรจาก JK AMC ได้เร็วกว่าที่คาดไว้ เราจึงคิดว่าการที่ JK AMC ซื้อสินทรัพย์ก้อนใหญ่เข้ามาบริหารจะทำให้กำไรของ JMT เพิ่มขึ้น 29%/28% ในปี 2566/2567 ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรที่ส่งมาให้ JMART อยู่ที่ประมาณ 1.25 พันล้านบาท/1.5 พันล้านบาท คิดเป็น 72%/70% ของประมาณการกำไรของ JMART ในปี 2566F/2567F เราคิดว่ากำไรของ J-Mobile จะ -10%/+15% ในปี 2566/2567 เนื่องจากยอดขายผ่านช่องทางของ SINGER โตลดลง
ปรับลดกำไรปี 2566F/2567F ลง 31%/28% และTP-66F ลดลงเหลือ 34 บาท (จากเดิมที่ 59 บาท)
JMART บันทึกรายได้ทางบัญชี (non-cash) หลายรายการในงบกำไรขาดทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกำไรจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์และการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ที่ถือหุ้นอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้กำไรแกว่งขึ้นแรงในช่วงที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป เราเป็นห่วงว่าบริษัทจะต้องบันทึกผลขาดทุน MTM เมื่อราคาหุ้นที่เข้าไปลงทุนลดลงมาแรง และในระยะสั้นจะยังไม่กลับไปอยู่ระดับที่เคยเป็นในอดีต นอกจากนี้ เรายังคิดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใหม่ ๆ ในช่วงนี้จะยังไม่มีนัยสำคัญ ดังนั้นเราจึงตัดรายได้จากกลุ่มที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกจากประมาณการกำไร ทั้งนี้ เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2566/2567 ลง -31%/-28% เนื่องจาก 1) ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้ของ J-Mobile เป็น -10%/+15% (จากเดิม +25%/+25%) เพราะยอดขายผ่านช่องทางของ SINGER ลดลง 2) ปรับเพิ่มสัดส่วน D/E และต้นทุนทางการเงินเป็น 4.5%/4.7% (จาก 3.9%) ซึ่งเมื่อใช้ PE ที่ 30x ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ที่ 34 บาท (ลดลงจาก 59 บาท)
Risks
ราคาหุ้นของบริษัทในเครือ JMART ที่ลดลงจะทำให้รายได้ประเภท non-cash ที่บันทึกในงบกำไรขาดทุนผันผวน, กำไรของ JMT ไม่โตตามคาด