วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (14 มี.ค. 66)
ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง ท่ามกลางวิกฤติการเงินในภาคธนาคารสหรัฐฯ
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐฯ หลังรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปิดกิจการของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB และธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) หรือ SB โดยนักลงทุนกังวลว่าการล้มลงของธนาคาร SVB และ SB อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารและอาจลุกลามไปยังธนาคารอื่นๆ ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การล้มลงของธนาคาร SVB ถือเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของภาคธนาคารสหรัฐฯ นับตั้งแต่เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลายในปี 2551
- ราคาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลในเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารสหรัฐฯ (FED) หลังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมายที่ 2%
+ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเทศจีน รวมทั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯประมาณ 1% เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาถูกลง
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังปริมาณอุปสงค์น้ำมันเบนซิน(รายวัน) ในเดือน ก.พ. 66 ของอินเดีย ปรับตัวสูงขึ้น 8.8% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว จากปริมาณการขับขี่รถยนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากคลื่นความร้อน อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในเดือน มี.ค.
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์น้ำมันดีเซลในเอเชียมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 50,000 บาร์เรลต่อวันในไตรมาสที่ 1 ปี 66 อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลการนำเข้าน้ำมันดีเซลของเวียดนามที่ลดลง 19.5% ในเดือน ก.พ. 66