ประเมินบรรยากาศลงทุนจะเริ่มทยอยปรับดีขึ้น โดยเฉพาะหลังสัปดาห์นี้

ประเมินบรรยากาศลงทุนจะเริ่มทยอยปรับดีขึ้น โดยเฉพาะหลังสัปดาห์นี้

ตลาดผันผวนเพราะตราสารหนี้ AT1 แต่ความเสี่ยงกลุ่มธนาคารในภาพใหญ่ปิดไปมากแล้ว บ่ายวานนี้ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเนื่องจากความสับสนเกี่ยวกับผลกระทบของการตัดหนี้สูญ (write-off) ตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้น 1 ได้

(AT1) ซึ่งถือเป็นตราสารหนี้ประเภท Contingent Convertible Bond (CoCos) ของธนาคารเครดิตสวิส (CS) มูลค่า 17.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้ตราสารในลักษณะเดียวกันปรับลดลงมากกว่า 20% และสร้างความกังวลถึงผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารทั้งในเอเซียและยุโรป ก่อนที่ต่อมาธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกแถลงผู้ถือหุ้นต้องรับผลขาดทุนก่อนผู้ถือตราสารหนี้แบบ CoCos ซึ่งหลังแถลงการณ์ดังกล่าวตลาดเริ่มคลายกังวลผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารและทำให้ตลาดยุโรปโดยรวมฟื้นตัวขึ้น เราคาดโฟกัสสัปดาห์นี้จะย้ายไปติดตามการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม 22 มี.ค.

 

เข้าสู่ Pre-election rally ซึ่งบวกต่อกลุ่มบริโภคในประเทศ หลังราชกิจจานุเบกษาทำให้การยุบสภามีผล 20 มี.ค.และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศการใช้จ่าย และความเชื่อมั่นในระยะสั้น และบวกต่อกลุ่มอิงการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะค้าปลีก และนิคมอุตสาหกรรม สำหรับหุ้นกลุ่มการเงินทั้งธนาคารและไฟแนนซ์ ในช่วงสั้นอาจเคลื่อนไหวด้อยกว่าตลาดบ้าง แต่คาดจะเคลื่อนไหวดีขึ้นหลังการรรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารไตรมาส 1/66 ในช่วงต้นเม.ย. ออกมายืนยันความแข็งแกร่งของผลประกอบการและแนวโน้มสำหรับปีนี้
 

ปรับเพิ่มน้ำหนักกลุ่มไฟฟ้าขึ้นเป็น “มากกว่าตลาด” เนื่องจาก 1) แนวโน้มวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยที่น่าจะเริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนปรับลง ลดแรงกดดันทั้งต่อผลการดำเนินงาน และในเชิงของการประเมินมูลค่าหุ้น 2) แนวโน้มต้นทุนพลังงานค่าก๊าซที่น่าจะลดลง โดยน่าจะสูงสุดในช่วงไตรมาส 1/66 ที่ 530-550 บาท/ล้านบีทียู ขณะที่ไตรมาส 2/66 จะลดลงเหลือ 500 บาท/ล้านบีทียู ขณะที่ในครึ่งปีหลัง 2566 น่าจะลดลงเหลือต่ำกว่า 400 บาท/ล้านบีทียู 3) ผลประกอบการของกลุ่มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2565 ขณะที่น่าจะเติบโตขึ้นราว 40% ในปี 2566 และ 4) การประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติเสนอขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ 5200MW (ประกาศผล เม.ย.66) และส่วนเพิ่มอีก 3660MW (ประกาศผลไตรมาส 3/66) จะเป็นปัจจัยผลักดัน (catalyst) ทั้งผลประกอบการและราคาหุ้นที่ดี

 

ภาพรวมกลยุทธ์: ผันผวนช่วงสั้น แต่ downside ของตลาดถูกจำกัดด้วยมาตรการต่างๆของฑนาคารกลางทั่วโลก ติดตามการส่งสัญญาณยืนยันไม่ลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม 22 มี.ค.นี้ อาจหนุนการฟื้นตัวของหุ้น ทยอยสะสมเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) ได้แก่ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกรายตัว โดยหุ้นที่เรามองสามารถทยอยสะสม ได้แก่ MAJOR, CPALL, MAKRO, BJC, PTTGC, IRPC, TIDLOR, AMANAH, MILL, TSTH, KSL, ROJNA, SAMART, SDC เป็นต้น

หุ้นแนะนำ: GULF*, ROJNA*, BJC*, CPALL

แนวรับ: 1,537-1,545 / แนวต้าน : 1,565 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

แบงก์ใหญ่สหรัฐเตรียมแปลงเงินฝาก 3 หมื่นล้านดอลล์เป็นทุนอุ้ม FRB – เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ธนาคารใหญ่สุดของสหรัฐ กำลังเป็นผู้นำการเจรจาร่วมกับผู้บริหารของธนาคารขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ เกี่ยวกับมาตรการครั้งใหม่ในการสร้างเสถียรภาพต่อธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB

Opportunity day - 21 มี.ค. – SUPER, EGCO, RPH, TSE, GLORY, TM, GVREIT / 22 มี.ค. – BCPG, AIMIRT, CHOW, BYD, AURA, BTG / 23 มี.ค. – SPCG, SABUY, TSR, KJL, SALEE, HTC, GRAMMY      

 

ประเด็นติดตาม: 21 มี.ค. - Existing Home Sales / 22 มี.ค. - Fed Interest Rate Decision / 23 มี.ค. – New Home Sales, Building Permits / 24 มี.ค. - Core Durable Goods Orders 

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)