Shipping Sector อัตราค่าระวางอาจจะเป็นขาลงไปอีกหลายปี

Shipping Sector อัตราค่าระวางอาจจะเป็นขาลงไปอีกหลายปี

อัตราค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์จากประเทศไทยยังคงลดลงใน 1QTD66 เนื่องจากค่าระวางของเส้นทางหลักทุกเส้นทาง ลดลง 8-36% สำหรับตู้ขนาด 20 ฟุต (TEU)

และลดลง 5-39% สำหรับตู้ขนาด 40 ฟุต (FEU) (Figure 3) ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราค่าระวางลดลงถึงกว่า 50% ยกเว้นเส้นทางญี่ปุ่น ซึ่งลดลงเพียง 15% ทั้งนี้ SCFI ก็แสดงภาพที่คล้าย ๆ กัน โดยลดลง 18% QTD และ 80%
YoY ทำให้ค่าระวางที่ปรับขึ้นมาในช่วงปี 2563-2564 ถูกหักล้างไปจนหมด ในขณะที่ดัชนี BDI ทำได้เพียงทรงตัว QTD แม้ว่าจะเป็นช่วง high season ของอุปสงค์เรือแห้งเทกองจากการขนส่งธัญพืช เพราะอัตราค่าระวางเรือแห้งเทกองขยับเพิ่มขึ้นผิดปกติในช่วงปลายปีที่แล้วเนื่องจากการกลับมาส่งออกธัญพืชจากท่าเรื่อ Black Sea (Black Sea Grain Initiative) ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว BDI ลดลง 44% YoY เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง

 

Shipping Sector อัตราค่าระวางอาจจะเป็นขาลงไปอีกหลายปี

 

 

บริษัทเรือสั่งต่อเรือคอนเทนเนอร์ใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2565

ถึงแม้ว่าจะมีคำสั่งต่อเรือคอนเทนเนอร์ใหม่เป็นจำนวนมากในปี 2564 ซึ่งอุปทานใหม่ส่วนนี้จะเพิ่มเข้ามาในตลาดในปี 2566-2568F แต่บริษัทเรือยังคงสั่งต่อเรือเพิ่มขึ้นอีกในปี 2565 คิดเป็นระวางรวม 2.7 ล้าน TEUs (Figure 9) ทั้งนี้ ณ เดือนกุมภาพันธ์ สัดส่วนของยอดคำสั่งต่อเรือใหม่เมื่อเทียบกับกองเรือทั้งหมดอยู่ที่ 28% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 และเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าจะมีอุปทานเรือคอนเทนเนอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมากในอีก 3-4 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอุปสงค์ของการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ลดลงในปีนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สายเดินเรือต่าง ๆ น่าจะเลื่อนการรับมอบเรือใหม่บางส่วนในปีนี้ออกไป และเมื่อประกอบกับอัตราการขายซากเรือเก่าที่คาดว่าจะสูงขึ้น กองเรือคอนเทนเนอร์น่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% YoY ตามประมาณการของ Hapag-Lloyd ซึ่งจะสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ ทั้งนี้ หากไม่มีการเลื่อนรับมอบเรือใหม่ อุปทานเรือคอนเทนเนอร์จะเพิ่มขึ้น 6.2% ในปี 2566F และ 11.5% ในปี 2567F

 

Shipping Sector อัตราค่าระวางอาจจะเป็นขาลงไปอีกหลายปี

 

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นอุปสรรคสำหรับเรือแห้งเทกอง

ในรายงานฉบับล่าสุด IMF คาดว่า GDP โลกจะขยายตัว 2.9% ในปี 2566F และ 3.1% ในปี 2567F ลดลงจาก 3.4% ในปี 2565 ดังนั้น ธุรกิจเรือแห้งเทกอง ซึ่งพึ่งการค้าขายสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนักจึงน่าจะถูกกดดันจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ทั้งในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภท hard และ soft commodities ซึ่งจากงานวิจัยของ Clarksons คาดว่าอุปสงค์การค้าสินค้าแห้งเทกองจะเพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งจะต่ำกว่าความสามารถในการขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.4% ในขณะที่ความเสี่ยงเชิงบวกจะมาจากการที่จีนกลับมาเปิดประเทศ ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ให้กับสินค้าโภคภัณฑ์บางรายการ อย่างเช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน และธัญพืช สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น BDI มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ใน 2Q66 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล เพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวของ soft commodities ในอเมริกาใต้

 

บทสรุป

เรายังคงมองลบกับแนวโน้มของกลุ่มเดินเรือ โดยเฉพาะในส่วนของเรือคอนเทนเนอร์ เราคาดว่าปริมาณการค้าที่ลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับทั้งเรือคอนเทนเนอร์ และเรือแห้งเทกอง เพราะคาดว่าอุปสงค์ของเรือทั้งสองประเภทจะโตเพียง 1-2% เท่านั้น ในขณะที่มีคำสั่งต่อเรือคคอนเทนเนอร์ใหม่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะกดให้อัตราค่าระวางอยู่ในระดับต่ำไปอีกสองสามปี