SINGER ปลี่ยนผู้บริหารในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

SINGER ปลี่ยนผู้บริหารในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

SINGER แจ้ง SET ว่า CEO (คุณกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์) ได้ลาออกจากตำแหน่ง และบริษัทได้แต่งตั้ง คุณนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ (CEO ของ J-Mobile) เป็น CEO คนใหม่ของ SINGER

ทั้งนี้ คุณกิตติพงศ์ ถือเป็นผู้บริหารสำคัญที่นำพา SINGER พลิกฟื้นสถานการณ์จากขาดทุนเป็นการฟื้นตัว เรามองว่า
สถานการณ์นี้ดูไม่ปกติ เพราะ SINGER กำลังเผชิญกับปัญหา NPL ก้อนใหญ่จากธุรกิจสินเชื่อลิสซิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดำเนินการจากบริษัทลูก (SGC)  ดังนั้น การลาออกของผู้บริหารคนสำคัญจึงเป็นสัญญาณลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น และทำให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

 

…แนวโน้มการเติบโตน่าเป็นห่วง

SINGER ถูกวางกลยุทธ์ให้เป็นช่องทางหลักในการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับ J-Mobile โดยยอดขายในปี 2565ของ SINGER เกือบ 1 พันล้านบาท (หรือประมาณ 36% ของยอดขายรวม) เป็นการขายสินค้า IT ที่มากจาก J-Mobile นอกจากนี้ JMART (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER) ก็พยายามจะผลักดันให้ SINGER เป็นกลไกหลักสำหรับธุรกิจการปล่อยขยายสินเชื่อผู้บริโภคบนฐานลูกค้าของ BRR ทั้งนี้ การเปลี่ยนตัวผู้บริหารรอบล่าสุดนี้อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าธุรกิจในอนาคตของ SINGER จะเน็นไปหาสินค้า IT จาก J-Mobile ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สินค้าจะกระจุกตัว และความเสี่ยงด้านการตั้งสำรองเพราะการปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้า IT มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้สูง

 

 

 

 

การแก้ NPL ทำให้เกิดความกังวลกับค่าใช้จ่ายสำรองฯ และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์

NPL ที่แท้จริงของ SINGER พุ่งสูงขึ้นอย่างมากใน 4Q65 โดย NPL ratio อยู่ที่ประมาณ 11-12% (หากนับรวม NPA ที่บันทึกเป็นสินค้าคงคลังด้วย) ทั้งนี้ เนื่องจากยังมีการจัดชั้นลูกค้าที่อ่อนไหวบางรายเป็นสินเชื่อที่ปกติ (performing loan) อยู่ใน 4Q65 แต่เราคิดว่าลูกค้าเหล่านี้อาจจะกลายมาเป็น NPL ใน 1Q66 และกระทบค่าใช้จ่ายสำรองฯ และค่าใช้จ่ายการด้อยค่าของสินทรัพย์ก้อนใหญ่ ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐาน ค่าใช้จ่ายสำรองฯใน 1Q66 เป็น 8% (จาก 5.6% ใน 4Q65) และในปี 2566 เป็น 6% (จาก 2.5% ในปี 2565)

 

ปรับลดกำไรปี 2566F/2567F -53%/29%, ปรับลดราคา TP-66F เหลือ 11.60 บาท, และแนะนำ ขาย

การปรับลดประมาณการกำไรของเราสะท้อนถึง 1) ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 6%/4% ในปี 2566/2567 (จากเดิมที่ 3%/2.5%) 2) การปรับลดอัตราการเติบโตของยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็น -20%/+10% (จากเดิมที่ -5%/+10%) 3) การปรับลดอัตราการเติบโตขอสินเชื่อเป็น -6%/+5% (จากเดิมที่ -5%/+10%) ทั้งนี้ เนื่องจากมี NPL เกิดใหม่จำนวนมาก และมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร เราจึงคิดว่า SINGER น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะในการล้างงบดุล และฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เราใช้ PE ที่ 15x โดยอิงจากประมาณการกำไรเฉลี่ย 2 ปี ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท (ลดลงจาก 24 บาท) ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก ถือ เป็น ขาย

 

Risks

NPL เพิ่มขึ้น และตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง