Investment Strategy - บันทึกหน้าใหม่ของการเมืองไทย?
ถึงแม้จะยังไม่ใช่ผลอย่างเป็นทางการ แต่พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยนำโด่งในการเลือกตั้งปี 2023 โดยก้าวไกลได้ส.ส. แบบแบ่งเขต 113 ที่นั่ง ในขณะที่เพื่อไทยได้ 112 ที่นั่ง ทางด้านส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ ก้าวไกลได้ 38 ที่นั่ง และ เพื่อไทยได้ 29 ที่นั่ง
ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่พรรคการเมืองต้องการ 376 ที่นั่งเพื่อลดทอนผลจากการร่วมพิจารณาของวุฒิสภาในการจัดตั้งรัฐบาล และเลือกนายกฯ ดังนั้น การจับมือกันของทั้งสองพรรคจะขจัดอุปสรรคนี้ไปได้ แต่ ณ จุดนี้ สูตรอื่น ๆ ในการตั้งรัฐบาลก็เป็นไปได้เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลผสม แต่สถานการณ์ในปัจจุบันน่าจะทำให้ตลาดขึ้นต่อได้ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันไม่แพงที่ระดับ -1 S.D. ในขณะเดียวกัน เราคาดว่านโยบายส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยน่าจะช่วยหนุนภาวะตลาด เราคำนวณแบบอนุรักษ์นิยมว่าดัชนี SET อาจจะขยับขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ -0.5 S.D. ซึ่งหมายความว่ายังมี upside อีกประมาณ 6% (1,660 จุด)
จุดสำคัญอยู่ที่นโยบาย และการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ในระยะสั้น เราเชื่อว่าโมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยจะเป็นบวก ซึ่งจากข้อมูลในอดีต หุ้นใน SET ขยับขึ้นเขียวได้ทั้งกระดานในช่วงสองสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นอาจปรับตัวได้ทั้งขึ้นและลง นอกจากนี้ เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดก่อนการเลือกตั้งยังไม่แพง จึงน่าจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าตลาดน่าจะดีดตัวขึ้นได้แรงในช่วงต่อไป อย่างไรก็ตาม นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นตัวตัดสินตลาดหุ้นในระยะกลางถึงยาว ทั้งนี้ จากนโยบายที่มีการหาเสียงเอาไว้ของก้าวไกลและเพื่อไทย ขนาดของนโยบายคิดเป็นประมาณ 3% ของ nominal GDP (ดูรายละเอียดในตารางแนบ Table 1) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคโดยรวมอีกประมาณ 0.4-0.5% จากประมาณการในกรณีฐานที่ 3.1% จากข้อมูลของ Krungsri Research แสดงให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนมักจะเร่งตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ยกเว้นในช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมีการดำเนินการตามนโยบายจริง สำหรับในส่วนของตลาดหุ้น สามารถดูนัยยะของหุ้นได้จาก table 2 เราคาดว่ากลุ่ม/หุ้นต่อไปนี้จะได้อานิสงส์: Commerce (CPALL, BJC, MAKRO), สื่อ (PLANB BEC WORK VGI MAJOR), นิคมอุตสาหกรรม (AMATA ROJNA WHA PIN) และ REITS/กองทุนอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนอย่าง - ก่อสร้าง
รอต่อไปไม่ได้แล้ว
หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจ และตลาดคือระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาถึง 90 วันก่อนที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่ทำงานได้ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีหน้า นั่นหมายความว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีนโยบายรองรับประเด็นเหล่านี้เอาไว้ นอกจากนี้ ใน figure 1 ยังแสดงว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางอยู่ ทั้งนี้ ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา GDP ของไทยขยายตัวเพียง 1.85% yoy ต่ำกว่าการเลือกตั้งห้าครั้งที่ผ่านมาอย่างมาก ซึ่งมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 4%