วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การเมืองกลับมาผันผวน
ติดตามถ้อยแถลงของ Fed, ECB และ BOJ ในสัปดาห์นี้ 1) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 25-26 ก.ค. คาดจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในรอบนี้ ซึ่งตลาดประเมินว่ามีโอกาสที่จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และการที่ตลาดเริ่มประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่เกิดการถดถอย (Recession) ทำให้ตลาดจะยังไม่แน่ใจการหยุดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จนกว่าจะเกิดขึ้นจริง ทำให้ตลาดยังมีโอกาสตอบรับเชิงลบจากแรงทำกำไรหรือผันผวนจากถ้อยแถลงประธานเฟด รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ช่วงปลายสัปดาห์ 2) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันที่ 27 ก.ค. คาดเห็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% และตลาดรอฟังการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย หลังตัวเลขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ PMI ยุโรป ค่อนข้างชะลอตัว 3) การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 27-28 ก.ค. ที่อาจสำคัญที่สุด แม้ตลาดคาด BOJ จะคงการดำเนินนโยบายการเงิน แต่เงินเฟ้อมิ.ย.ที่ +3.3% สูงกว่าเป้าหมาย 2% เป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน ทำให้ BOJ อาจต้องใช้นโยบายที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบกับธุรกรรมกู้ยืมเงินเยนไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น (Yen carry trade) ดังนั้นหากนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง ตลาดจะเคลื่อนไหวออกข้าง แต่หากมีการปรับนโยบายตึงตัวขึ้น หรือเพิ่มกรอบควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve control) อาจส่งผลให้เกิดการขายสินทรัพย์อื่น เพื่อคืนเงินกู้สกุลเยนได้
การเมืองไทยมีโอกาสที่จะยืดเยื้อกดดันต่อบรรยากาศลงทุน ผู้ตรวจมีความเห็นส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นการห้ามโหวตชื่อพิธาซ้ำ อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำร้องดังกล่าวรวมถึงการให้รัฐสภารอผลการวินิจฉัย ซึ่งอาจทำให้ต้องเลื่อนการประชุม 27 ก.ค. และส่งผลให้ความชัดเจนทางการเมืองต้องเลื่อนออกไป เป็นผลให้ตลาดอาจผันผวนจากความกังวลการใช้งบประมาณปีนี้อาจล่าช้า และในเชิงจิตวิทยาจะมีแรงกดดันจนกว่าการเมืองจะเห็นความชัดเจนในการตั้งรัฐบาล ส่งผลให้ SET Index จะยังผันผวนในกรอบ 1,517-1,540 จุด ต่อไปอีกระยะ
ภาพรวมกลยุทธ์: เลือกเก็งกำไรรายตัว ขณะที่ภาพรวมตลาดแกว่งตัว โดย SET Index ไม่ควรหลุด 1,510 จุด กลุ่มอิงปัจจัยภายนอกเด่นในระยะสั้นจากความกังวลการเมืองยืดเยื้อกดดันหุ้นบริโภคและท่องเที่ยว แต่กลุ่มอิงภายนอกที่ดีต่อในครึ่งหลังมีแค่พลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ขณะที่ปิโตรเคมีจะแย่ยาว ทำให้เหมาะแค่การเก็งกำไรยังไม่เน้นถือยาว
หุ้นแนะนำ: TOP*, PTTEP*, GUNKUL*, ESSO*
แนวรับ: 1,510-1,517 / แนวต้าน : 1,535-1,540 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐร่วงต่ำสุดรอบ 5 เดือน – โดยปรับตัวลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนก.ค. จากระดับ 53.2 ในเดือนมิ.ย. โดยถูกกดดันจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.0 จากระดับ 46.3 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน จากระดับ 54.4 ในเดือนมิ.ย.
รัสเซียฉีกข้อตกลงธัญพืช - ราคาสัญญาล่วงหน้าพุ่งขึ้น ได้แก่ ข้าวสาลี (+8%), ข้าวโพด (+5%) และถั่วเหลือง (+1%) ขานรับการที่รัสเซียประกาศถอนตัวจากข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำ และยังคงมีการจำกัดการส่งออกธัญพืชและปุ๋ยจากรัสเซีย
AMATA เข้าไฮซีซันนิคมอุตสาหกรรม - ครึ่งหลังยอดขายจะแรงกว่าครึ่งแรกปี รับต่างชาติซื้อที่ต่อเนื่อง ย้ำเป้าปีนี้ขายแตะ 2.25 พันไร่ มองประเด็นการเมืองไม่กระทบต่อการลงทุนต่างชาติหากไม่มีความรุนแรง วางเกมรุกขายที่ดินในประเทศลาวปี 67
SCN ผู้นำขนส่งก๊าซสูงสุดล้านกก.ต่อวัน – หลังล่าสุดชิงพื้นที่การขนส่งก๊าซธรรมชาติสำเร็จทั้งหมดจากงานประมูล PTT มูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท ระบุครึ่งหลังปี 2566 นี้ ทุกไลน์ธุรกิจของ SCN เติบโตแกร่ง
ประเด็นติดตาม: 25 ก.ค. – US CB Consumer Confidence/ 26 ก.ค. – US New Homes Sales, Fed Interest Rate Decesion/ 27 ก.ค. – ECB Interest Rate Decision, US GDP, TH Manufacturing PMI
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)