กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ กำไร บจ. ไตรมาส 2/66 - ลดลงทั้ง YoY และ QoQ
กำไรไตรมาส 2/66 ของหุ้นที่ KGI ศึกษาอยู่ลดลง 40% YoY และ 18% QoQ นำโดยกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีที่ผลประกอบการแย่ลงอย่างมาก
ฤดูส่งงบ 2Q66 จบลงไปแล้ว โดยกำไรสุทธิของบริษัทที่ KGI ศึกษาอยู่ลดลง 40% YoY และ 18% QoQ โดยสาเหตุสำคัญมาจากผลประกอบการที่แย่ลงอย่างมากของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีท่ามกลางแนวโน้มอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ และความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ใน 2Q66 แต่หากไม่รวมสองกลุ่มที่อ่อนไหวตามวัฏจักรดังกล่าว กำไรของหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่ KGI ศึกษาอยู่จะเพิ่มขึ้น 8% YoY และลดลงเพียง 2% QoQ ทั้งนี้ มีหุ้น 31% ที่เราศึกษาอยู่ที่ผลประกอบการออกมาดีกว่า Bloomberg ในขณะที่อีก 36% เป็นไปตามประมาณการ และที่เหลืออีก 33% ออกมาแย่กว่า
ที่คาดไว้
ผลประกอบการของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, สื่อ และ โรงแรม ดีกว่าประมาณการ ส่วนกลุ่มรับเหมา และปิโตรเคมี แย่กว่าที่คาดไว้
ดังที่แสดงใน figure 3 กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, สื่อ และโรงแรม มีอับตรา ‘beat ratio’ ที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งต่อเนื่องในงวด 2H66 เนื่องจากเรามองว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคธุรกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่แล้ว ในขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะเข้าสู่ช่วง highs eason อีกครั้งใน 4Q66 แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้รับผลกระทบจากภาวะสุญญากาศทางการเมือง และ ผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีใน 2Q66 ออกมาน่าผิดหวัง
หลังการปรับลดประมาณการรอบล่าสุด EPS ปี 2566 ของหุ้นไทยน่าจะทรงตัวในช่วงเดือนต่อ ๆ ไป ภายใต้สมมติฐานว่าสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในเร็ว ๆ นี้
หลังจากที่มีการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยอีกระลอกตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลากยาวมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ช้าเกินคาด เราคาดว่า EPS ของหุ้นไทยน่าจะทรงตัวได้ในช่วงเดือนต่อ ๆ ไป ภายใต้สมมติฐานว่าประเทศไทยจะสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญตีตกปมรัฐสภาเสนอชื่อนายกซ้ำ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้มีการลงมติเลือกนายกอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เรามองว่ารัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำน่าจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจ
มูลค่าหุ้นค่อนข้างตึงตัวสำหรับปี 2566 แต่หากมองไปถึงปี 2567 ตลาดหุ้นยังมีอัพไซด์ค่อนข้างมาก
หลังจากที่ปรับลดประมาณการกำไรรอบล่าสุดนี้แล้ว ประมาณการ EPS ปี 2566 ของเราอยู่ที่ 96.4 ทำให้มูลค่าเหมาะสมของดัชนี SET ปี 2566 อยู่ที่ 1,542 จุด (PE ที่ 16.0x) ซึ่งเหลือ upside จำกัดจากระดับปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่กดโมเมนตัมของตลาดเอาไว้สักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า EPS ปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 13% เป็น 109.4 และทำให้มูลค่าเหมาะสมของดัชนีสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนหาโอกาสซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดผันผวนในปัจจุบัน จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน และความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยหุ้นในธีมที่เราชอบได้แก่ i) หุ้นที่อ่อนไหวกับนโยบายของรัฐบาล อย่างเช่น GULF* และ STEC* ii) หุ้นโรงกลั่นที่กำลังได้อานิสงส์จากการที่ GRM ขึ้นไปจนใกล้จุดสูงสุดของวัฏจักรรอบนี้แล้ว เช่น TOP* และ iii) หุ้นผู้บริโภคที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อย่างเช่น CPALL*, CRC* และ CPN*