กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ ฟื้นตัวต่อจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ไม่น่าไปไกลมาก
โมเมนตัมยังขึ้นต่อ แต่ไม่น่าไปไกลมาก ในสัปดาห์ที่แล้ว (30 ตุลาคม –3 พฤศจิกายน) ตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงเกินคาด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสรัฐฯ ร่วงแรง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐส่วนใหญ่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด
และผลการะประชุม FOMC ไม่ได้ออกมาแข็งกร้าวอย่างที่กังวลกัน สำหรับประเด็นภายในประเทศ ข่าวว่ารัฐบาลอาจจะต้องเลื่อนมาตรการ digital wallet ไปเป็นช่วงครึ่งหลังของปีหน้าช่วยคลายแรงผลักขึ้นของบอนด์ยิลด์ภายในประเทศ ทั้งนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่หุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่ร่วงลงมาแรงก่อนหน้านี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ (6 – 10 พฤศจิกายน) เราคาดว่า SET Index จะฟื้นตัวต่อ แต่ upside ในระยะสั้นจะจำกัด โดยแม้ว่า sentiment ระยะสั้นยังเป็นบวกหลังตัวเลขการจ้างงานสหรัฐเดือนตุลาคมที่ต่ำกว่าคาดยังช่วยกดบอนด์ยิลด์ให้ลดลง แต่เราพบว่าในสัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าจะมีปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดพันธบัตรฯ น้อยลง นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มที่ตกไปอยู่ในเขต ‘oversold’ อย่างเช่นไฟแนนซ์ และ สาธารณูปโภคได้ดีดตัวกลับขึ้นมาแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักในดัชนีฯ เช่น ธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร ยังขาดปัจจัยกระตุ้นที่
ชัดเจนในระยะสั้น สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลให้บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงได้ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การปาฐกถาของเจ้าหน้าที่ของเฟดหลายท่าน หลังเฟดประกาศผลประชุมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ติดตามตัวเลขการค้าของจีน, ยอดขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐ, GDP อังกฤษ และกระแสข่าวเกี่ยวกับมาตรการ digital wallet ของไทย
ปัจจัยต่างประเทศ: ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ในขณะที่ธนาคารกลางหลัก ๆ ได้ตัดสินนโยบายการเงินกันไปหมดแล้ว เราคิดว่าประเด็นที่นักลงทุนควรติดตามได้แก่ i) ตัวเลขการค้าของจีนในวันที่ 7 พฤศจิกายน ii) ยอดขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐในวันที่ 9 พฤศจิกายน และ iii) GDP ไตรมาส 3/2566 ของอังกฤษในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งนี้ เมื่อไม่นานมานี้ยุโรปเพิ่งรายงานว่า GDP ติดลบ QoQ ในไตรมาส 3/2566 จึงน่าสนใจติดตามว่าเศรษฐกิจของอังกฤษจะเป็นอย่างไร โดย consensus คาดว่า GDP growth ของอังกฤษจะอยู่ที่ 0% QoQ
ปัจจัยในประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของเราคาดว่า headline CPI จะเพิ่มขึ้น 0.4% YoY ii) การประกาศผลประกอบการ 3Q66 ของ บจ. ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และ iii) การประกาศรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ digital wallet ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมนัดพิเศษเพื่อสรุปรายละเอียดของมาตรการฯ โดยคาดว่าจะแถลงขอบเขต และ แผนการจัดหาเงินทุนของมาตรการฯ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน
ยังคงเน้นหุ้นตามธีมกลยุทธ์เดือนพฤศจิกายน คือกลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มโรงพยาบาล และหุ้นที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดีอยู่
เนื่องจากเรามองว่าตลาดหุ้นยังฟื้นต่อในสัปดาห์นี้ แต่หุ้นกลุ่มหลักยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่เข้ามา เราจึงยังคงเน้นธีมการลงทุนตามบทวิเคราะห์กลยุทธ์เดือนพฤศจิกายนของเรา โดยเราชอบหุ้นโรงพยาบาลที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2566 แนวโน้มจะออกมาแข็งแกร่ง อย่างเช่น BDMS* และ BH* ในขณะที่มองเห็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไรต่อได้ในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในกลุ่มนี้เราเลือก SAWAD* และ MTC* นอกจากนี้ เรายังชอบหุ้นกลุ่มที่จะผลประกอบการปี 2567 มีแนวโน้มแข็งแกร่งตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเด่นกว่าประเทศหลักอื่นๆ เช่น หุ้น DELTA*, RBF และ TU*