วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ขาดปัจจัยใหม่

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ขาดปัจจัยใหม่

วันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลงต่ำสุดราว -12 จุด แรงขายหลักมาจากหุ้นกลุ่มขนส่ง ค้าปลีก และไอซีที รวมถึงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ที่มีปัจจัยลบจากข่าว สายการบินจีนหลายแห่งแจ้งยกเลิกเที่ยวบินที่เดินทางมาประเทศไทย

ทำให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทั้งปี จะไม่ถึงเป้าที่เคยตั้งเป้าไว้ ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค. ขยายตัว 8% จากตลาดคาดที่ 9-9.3% ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,393.42 จุด -4.01 จุด -0.29% มูลค่าการซื้อขาย 36,303 ลบ.Program Trading +1,037.46 ลบ. ต่างชาติ +613.27 ลบ. TFEX -6,758 สัญญา ตราสารหนี้ -1,554.57 ลบ.


ปัจจัยบวก    

+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 56.68 จุด หรือ -0.16% ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันไซเบอร์มันเดย์ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง GDP และดัชนี PCE เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ FED
+ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 96.8% ที่ FED จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค. และอาจจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2567
+ WHO เปิดเผยว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีนไม่พบเชื้อโรคที่ผิดปกติหรือชนิดใหม่ ๆ และได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของโรคระบบทางเดินหายใจและคลัสเตอร์ของโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ในเด็กตามที่ WHO เรียกร้อง
+ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการส่งออกเดือนต.ค. เติบโต 8% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อย่างไรก็ดี ในช่วง 10M66 มูลค่าการส่งออกลดลง 2.7% เชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยในช่วง 2 ที่เหลือของปีนี้ (พ.ย.-ธ.ค. 66) จะยังสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ ส่งผลให้ทั้งปี 66 การส่งออกไทยจะติดลบเล็กน้อยที่ราว -1% โดยคาดว่าจะพลิกกลับมาขยายตัว 2% ในปี 67
+ กระทรวงการคลังพร้อมเสนอครม.พิจารณาโครงการ e-Refund ลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5 หมื่นบาทหวังกระตุ้นใช้จ่าย
+/- แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.1% ใน 4Q66 หลังจากมีการขยายตัว 2.2%, 2.1% และ 4.9% ในไตรมาส 1, 2 และ 3 ตามลำดับ

ปัจจัยลบ

 

 

 

- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 68 เซนต์ หรือ -0.9% ปิดที่ 74.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปคพลัสในวันพฤหัสบดีนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยว่าโอเปคพลัสกำลังเตรียมที่จะปรับลดการผลิตน้ำมันลงอย่างมาก
- สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเกิดเหตุนักศึกษาชาวปาเลสไตน์ 3 รายถูกยิงบาดเจ็บที่เมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ ประเทศสหรัฐ โดยคาดว่าเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังคนอาหรับ
- จีนรายงาน ว่า กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 2.7%YoY ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.และส.ค.ที่ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 11.9%YoY และ 17.2%YoY ตามลำดับ บ่งชี้ว่าจีนยังคงเผชิญแรงดันด้านเงินฝืด และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจของประเทศจะยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางไปจนถึงสิ้นปี 2566
- สภาพัฒน์รายงาน 2Q66 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.07 ล้านล้านบาท +3.6%YoY สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP 90.6% ทรงตัว QoQ ขยายตัวจากหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์และหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเป็นหลัก มูลค่า NPL 1.47 แสนล้านบาท +2.7%QoQ และคิดเป็นสัดส่วน 2.71% ต่อสินเชื่อรวมบ่งชี้ความสามารถในการช่าระหนี้ของครัวเรือนลดลงเล็กน้อย

แนวโน้มตลาดวันนี้  

คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยนักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เช่น GDP และ PCE เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ในประเทศยังขาดปัจจัยใหม่หนุน กรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,390 -1,400 จุด

 

 

กลยุทธ์การลงทุน  

• Digital Wallet และ e-Refund : BJC CPALL CPAXT CRC CPN COM7 SPVI CPW JMART HMPRO DOHOME GLOBAL ZEN M AU TNP KK
• MSCI Global Standard เข้า : - ออก : BGRIM EGCO RATCH MSCI Small cap เข้า : BGRIM EGCO RATCH ออก : ACE ASK KEX ONEE RAM SABUY TTA TFG VIBHA ใช้ราคาปิด 30 พ.ย.
• หุ้นที่มี ESG สูง และอยู่ใน SET50 : ADVANC CPALL CPF CRC OR PTTEP TOP
• ยอดส่งออกเดือน ต.ค. เติบโต : ITC AAI CH PDJ NRF XO

หุ้นรายงานพิเศษ  

SYNEX (Bloomberg Consensus 12.50 บาท)
รายงานกำไร 3Q66 ดีกว่าคาด 5%

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ขาดปัจจัยใหม่

•รายงานกำไร 143 ลบ. หดตัว 34%YoY แต่เติบโต 63%QoQ โดยมีรายได้ 9.37 พันลบ. เติบโต 10%QoQ เนื่องจากการเปิดตัวสินค้าแบรนด์ APPLE โดยเฉพาะ Iphone 15 ในเดือน ก.ย. 2566 แต่หดตัว 7%YoY เนื่องจากสินค้าคอนซูเมอร์ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 3.78% ใน 2Q66 สู่ 3.88% เนื่องจาก Product Mix ที่เปลี่ยนแปลงไป ด้านค่าใช้จ่ายในการและบริหารปรับตัวลงจาก 229.7 ลบ. ใน 2Q66 เหลือ 193 ลบ. ใน 3Q66 เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีกำไร 9M66 ที่ 365 ลบ.-42%YoY และคิดเป็น 74% ของประมาณการกำไรปี 66 จาก Bloomberg

ความเห็น คาดว่าผลประกอบการ 4Q66 เริ่มฟื้นตัวจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ภาครัฐได้ออกมาตรการ E-Refund ใน 1 ม.ค. 67-15 ก.พ. 67 เป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการใน 1Q67 เพิ่มเติม ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 40%YTD ตอบรับผลประกอบการที่ชะลอตัวไปแล้ว อีกทั้งยังมี upside 25% เราจึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้นมีข่าว

(+) ACE (Bloomberg consensus 3.68 บาท) เซ็น กฟภ. รับสัญญา PPA 8 โรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 79.2 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตเสนอขายรวม 64.0 เมกะวัตต์ พร้อมเดินหน้าก่อสร้างเต็มสูบ คาดเมื่อเปิด COD ครบจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มอีกปีละประมาณ 2,400 ล้านบาท และเพิ่ม EBITDA ได้อีก 1,200-1,300 ล้านบาทต่อปี ชี้ทั้งกลุ่มลดคาร์บอน 6.6 แสนตัน (ที่มา ทันหุ้น)

(+) ROJNA (Bloomberg consensus 7.65 บาท) ลูกค้าจีนดีลซื้อที่ดินต่อเนื่อง ล่าสุดตุนแบ็กล็อกกว่า 1,661 ไร่ คาดปีหน้ายอดขายดีต่อเนื่อง หวังเศรษฐกิจฟื้น รัฐกระตุ้นการลงทุน ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าลุ้นต้นทุนลดลงหนุนผลประกอบการฟื้น ด้านธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟ มองโอกาสเติบโตสูง (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BPP (Bloomberg consensus 16.50 บาท) วางเป้าปี 2567 เติบโตแบบตัวเลขสองหลัก พร้อมอัดงบ 500 ล้านดอลลาร์ ลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าเติมพอร์ตเพิ่มอีก 800-1,000 เมกะวัตต์ แย้มมีดีลกว่า 10 ราย คาด Q2/2567 ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน "ดร.กิรณ ลิมปพยอม" แย้มผลงานไตรมาส 4/2566 โตต่อเนื่อง หลังเข้าฤดูหนาวหนุนความต้องการใช้พลังงานพุ่ง โบรกอัพเป้าใหม่ 16.50 บาท (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SJWD (Bloomberg consensus 19.00 บาท) ส่ง "SCG EXPRESS" ผนึกกำลัง "FUZE Post" ร่วมให้บริการขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ เพิ่มศักยภาพจัดส่งได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น วางเป้าหมายเพิ่มปริมาณงานเป็น 2 เท่า ประมาณ 500,000 ชิ้น ในปี 2567 (ที่มา ทันหุ้น)