วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นอาจฟื้นตัวระยะสั้น ติดตามการประกาศงบการเงินกลุ่ม real sectors
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะออกมาสูงกว่าคาด เราประเมินว่าตลาดเริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ (Recession) และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ มากขึ้น เห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
แม้มีการรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาสูงกว่าคาด เราประเมินนักลงทุนเริ่มรับรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับลดลงช้ากว่าคาดการณ์เดิม สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond yield) อายุ 2 ปี ที่เพิ่มขึ้นมาเหนือ 4.3% หลังลงไปทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 4.1% จากจุดสูงสุดที่ 5.25% (สะท้อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้ง) ทั้งนี้หากอิงข้อมูลตาม Dot plots ครั้งล่าสุด สะท้อนว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่มองว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปีนี้จะอยู่ที่ 4.6% หรือคิดเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) จึงมีโอกาสที่ Bond yield จะกลับมาอยู่ในโซน 4.25-4.50% สำหรับตลาดหุ้นไทย อาจมีการฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แต่ในภาพรวมของ Fund flow จะยังถูกกดดันจากระยะห่างที่ค่อนข้างมากระหว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ-ไทย
ผลประกอบการกลุ่มธนาคารออกมาผสมผสาน โดย SCB และ TTB ออกมาสูงกว่าที่คาด ส่วนธนาคารอื่นๆ อาทิ TISCO, BBL, KBANK ค่อนข้างต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ เราประเมินผลที่ออกมายังไม่ได้ช่วยทำให้โมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้นอย่างมีนัย แนะติดตามผลประกอบการของกลุ่ม real sectors ที่จะทยอยรายงานผลประกอบการออกมาในช่วงนี้
นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเข้ามามากตั้งแต่ต้นปี ททท. รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสองสัปดาห์แรกของปี 67 (1 ม.ค. – 14 ม.ค. 67) อยู่ที่ 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยว 5 ประเทศที่เข้ามามากที่สุด ได้แก่ จีน, มาเลเซีย, รัสเซีย, เกาหลีใต้ และอินเดีย จุดที่น่าสนใจ คือนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับเข้ามาสูงกว่าช่วงเดือน ม.ค. 66 ทั้งเดือนแล้ว มองว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวข้อง อาทิ CPALL, CPN, CRC, ERW, CENTEL, MINT, SPA, BDMS, BH กลับมาน่าสนใจ
ภาพรวมกลยุทธ์ อาจฟื้นตัวระยะสั้น แต่การที่บริษัทจดทะเบียนใน SET50 ราว 60% เริ่มมีภาพการเคลื่อนไหวที่เป็นลบ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพของดัชนี ทำให้ความเสี่ยงของการปรับลดลงต่ำกว่า 1360 จุด มีโอกาสเกิดขึ้น การเก็งกำไรเน้นหุ้นที่ยังมีโมเมนตัมบวก หรือมีภาพผลประกอบการหรือปัจจัยบวกสนับสนุน
หุ้นแนะนำ: CPN*, GPSC*, TU*, COCOCO*
แนวรับ: 1,366 / แนวต้าน : 1,383-1,390 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
กพร.แจงลิเทียมไทยไม่ได้มีมากเป็นอันดับ3ของโลก–การนำข้อมูลปริมาณทางธรณีทรัพยากรแร่ไปเปรียบเทียบกับปริมาณทรัพยากรโลหะลิเทียมของต่างประเทศ อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน (ฐานเศรษฐกิจ)
3 ค่ายรถจีน “ฉางอาน-SAIC-GWM” ลงนามรับสิทธิประโยชน์ประเดิม EV3.5 (อินโฟเควสท์)
รอน เดอซานติส ถอนตัวชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ – ตัวแทนผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐของพรรครีพับลิกันคนดังกล่าว ประกาศระงับการแข่งขันของตน และหันไปสนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ แทน (มติชน)
โอเพนเอไอ กับ ไมโครซอฟท์ จ่อโดนสหรัฐตรวจสอบด้านการต่อต้านผูกขาด – กรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) กำลังหารือกันว่าหน่วยงานใดควรเป็นผู้ตรวจสอบโอเพนเอไอ ในประเด็นการต่อต้านการผูกขาดที่อาจเกิดขึ้น (อินโฟเควสท์)
เกาหลีใต้ ไฟเขียวยกเลิก ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด สำหรับแท่งสแตนเลสญี่ปุ่น หลังบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2547 (การเงินธนาคาร)
KTC เผยกำไรสุทธิปี66โต 3.1%-พอร์ตสินเชื่อขยาย 7.8% NPL 2.2% เน้นคุมคุณภาพสินเชื่อ
MK บมจ.มั่นคงเคหะการ ยันไร้ปัญหาสภาพคล่อง แจงนัดถกผู้ถือหุ้นกู้ขอเพิ่มเพดาน D/E รองรับลงทุน
SINO รับอานิสงส์ค่าระวางเรือขาขึ้นรอบใหม่-ปริมาณขนส่งโต 15% หนุนรายได้ก.พ. (อินโฟเควสต์)
ประเด็นติดตาม: 22 ม.ค. - ECB President Largarde Speech)/ 23 ม.ค. – EU Consumer Confidence Flash (Jan)/ 24 ม.ค. – TH Balance of Trade (Dec)/TH New Car Sales(Dec)
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)