วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังเน้นหุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและท่องเที่ยว
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัวอาจทำให้ตลาดผันผวนจากแรงทำกำไรในระยะสั้นซึ่งอยู่ในคาดการณ์ของเรา ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสูงสุด 4.17% ฟื้นตัวแรงในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านจากจุดต่ำสุด 3.81% เมื่อ 1 ก.พ. หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด
โดย ISM Services Index ม.ค. 53.4 จุด (ดีกว่าคาดการณ์ที่ 52.0 และธ.ค.ที่ 50.6 จุด) ขณะที่ ISM Service Prices Paid ม.ค.ที่ 64.0 จุด (ดีกว่าคาดการณ์ที่ 56.7 และธ.ค.ที่ 57.4 จุด) อย่างไรก็ตาม เรามองการดีดตัวของผลตอบแทนพันธบัตรไม่ใช่เรื่องผิดค่าหรือน่าประหลากใจ แต่เป็นการสะท้อนการปรับมุมมองของตลาดที่การลดดอกเบี้ยอาจไม่ได้เกิดเร็ว หรือมากครั้งเท่ากับที่สะท้อนผ่านตลาดพันธบัตร ซึ่งทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรมีโอกาสดีดตัวขึ้นสู่ 4.25-4.50%
คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% และยังไม่ลดดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ แม้มีแรงกดดันและข้อเสนอแนะเพื่อปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจากหลายกลุ่ม แต่เราประเมินการประชุม 7 ก.พ.นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% และไม่ลดลงในเร็ววันนี้ จาก เงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังเป็นบวก และการรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ-ไทย เพื่อเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งเราคาดผลต่อหุ้นในกลุ่มต่างๆเป็นดังนี้ 1) กลุ่มการเงิน ปัญหาการตั้งสำรองและ NPL รวมไปถึงราคาหลักประกันการกู้ยืมอย่างรถยนต์มือสองที่ยังลดลง จะเป็นปัจจัยถ่วงหุ้นในกลุ่มไปอีกระยะ 2) กลุ่มธนาคาร แม้ 1-2 สัปดาห์หน้าจะมีปัจจัยบวกจากการประกาศเงินปันผล แต่มักตามมาด้วยแรงขายทำกำไร ในช่วง มี.ค.-เม.ย. ประกอบกับส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของหุ้นธนาคารจะเริ่มหดแคบลงจากต้นทุนการเงินที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น การปรับขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์หน้า เป็นโอกาสขายทำกำไร
ยังคงเน้นหุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและหุ้นท่องเที่ยว เราประเมินส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ-ไทยที่กว้างมาก จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า ซึ่งจำกัดการฟื้นตัวของ SET Index แต่เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก (อิเล็กทรอนิกส์และอาหาร) และหุ้นภาคบริการ (ท่องเที่ยวและการแพทย์) หุ้นที่เราชอบ ได้แก่ TU, CPF, BTG, AOT, AAV, BA, BAFS, ERW, MINT, CENTEL, SPA เป็นต้น
ภาพรวมกลยุทธ์ เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นในหุ้นรายตัว โดยมีกรอบเก็งกำไร 1,369-1,400 จุด การเก็งกำไรยังเน้นเป็นเพียงการซื้อโดยกำหนดจุดตัดขาดทุน เน้นกลุ่มที่มีแนวโน้มผลประกอบการดีหรือฟื้นตัวชัดเจน อาทิ ท่องเที่ยว ขณะที่อาจเลือกกลุ่มที่ปรับลดลงมาเยอะนับจากต้นปี (อาทิ EA, COM7, IVL, SCGP, KCE, CRC, CBG, TLI, HMPRO, PTTGC)
หุ้นแนะนำ: ERW*, BSRC*, AAI*, SJWD*
แนวรับ: 1,369-1,373 / แนวต้าน : 1,389-1,400 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
ตรุษจีนคึกคัก ม.หอการค้าเผยผลสำรวจ คาดเงินสะพัดทั่วไทยเกือบ 5หมื่นลบ. เพิ่ม10% (อินโฟเควสท์)
Bond yield พุ่งต่อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 4.1% หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้ (อินโฟเควสท์)
ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐขยายตัวเดือนที่ 4 ในม.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.5 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2566 ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน (อินโฟเควสท์)
EU จ่อเสนอมาตรการคว่ำบาตรเพิ่ม เหตุใกล้ครบรอบ 2ปีสงครามรัสเซีย-ยูเครน(การเงินธนาคาร)
เงินเฟ้อไทยเดือน ม.ค. ติดลบ-1.11% yoy ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ที่ -0.82% โดยเป็นการลดลงของ สินค้าnon-food และราคาพลังงานจากมาตรการช่วยลดต้นทุนน้ำมัน
ยูโอบี จับมือ บิ้ว ทรี เทคโนโลยีดันธุรกิจเอสเอ็มอีสู่ความยั่งยืน ผ่านโซลูชันการเงินสีเขียว (อินโฟเควสท์)
Amazon US หุ้นอะเมซอนร่วงก่อนเปิดตลาด หลังมีข่าวเบซอสเตรียมขายหุ้นล็อตใหญ่ (อินโฟเควสท์)
Foxconn US บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญญาจ้างรายใหญ่ที่สุดในโลก และซัพพลายเออร์รายใหญ่ของแอปเปิ้ล กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ว่ารายรับในไตรมาสที่ 1 จะลดลง เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากทำรายได้สูงมากในปีก่อนหน้า (อินโฟเควสท์)
ADVANC แจ้งงบวันนี้ เน็ตบ้านมือถือพุ่ง กำไรเฉียด 3 หมื่นล้าน (ข่าวหุ้นธุรกิจ)
RBF ส่งซิกปีนี้รายได้โต 15% (ข่าวหุ้นธุรกิจ)
ติดตามการประชุมบอร์ดตลาดหลักทรัพย์วันนี้ วาระสำคัญเลือกประธานบอร์ด โหวต พิชัย ชุณหวชิร นั่งประธาน (ข่าวหุ้นธุรกิจ)
ประเด็นติดตาม: 7 ก.พ. TH Interest Rate Decision/US Exports(Dec)/ 8 ก.พ. CN Inflation Rate (Jan)
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)