วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จับตา กระแสเงินทุนต่างชาติ
ทางเทคนิค คาด SET Index เคลื่อนไหว Sideways Down แนวรับ 1,357 /1,352 จุด แนวต้าน 1,375/1,380 จุด การปรับลดลงต่อเนื่องของดัชนีฯ และหลุดแนวรับสำคัญ 1,380 จุด
ส่งผลให้ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนเป็นรูปแบบ Sideways กรอบ 1,352-1,405 จุด (จากเดิม รูปแบบขาขึ้น Up Channelไปที่ 1,422 จุด) โดยจะเกิดสัญญาณ Sell Signal เพิ่ม หากดัชนีฯ หลุดกรอบแนวรับดังกล่าว โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,335 จุด
ประเด็น Event สำคัญ วันนี้
Weekly Strategy >>มุมมองต่อ SET Index: SET อาจเริ่มได้รับปัจจัยหนุนจากการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติน้อยลง (เดือน ก.พ.นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกในรอบ 12 เดือน มูลค่า ณ วันที่ 29 ก.พ. 2024 อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท) หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น จากตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้) ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ในขณะที่ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงตามอัตราเงินเฟ้อไทยที่คาดว่ายังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ไทยอาจลดดอกเบี้ยลงก่อนสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบดังกล่าว เรามองว่าจะหักล้างด้วย ปัจจัยหนุนจาก 1. โอกาสการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนต่อเนื่องหากการประชุม 2 สภาของจีนยังคงประมาณการ GDP
ในระดับสูง (ไทยมีโอกาสเทรด PE ที่สูงขึ้นตามจีน ซึ่งมี Correlation ร่วมกันสูงถึง 85%) 2. การเร่งรัดเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้น เราจึงแนะนำให้ปรับกลยุทธ์ลงทุน ดังนี้
“ซื้อ” เมื่อ SET อยู่ในกรอบ 1,345-1,391 จุด อิง MRP 4.55%- 4.32% (+2 S.D., +1 S.D.)
“เก็งกำไร” เมื่อ SET อยู่ในกรอบ 1,391-1,440 จุด อิง MRP 4.32%-4.08% (+1 S.D., ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 90 วัน)
“ขาย” เมื่อ ดัชนี SET สูงกว่า 1,440 จุด อิง MRP ต่ำกว่า 4.08% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 90 วัน)
Opportunity Day: MGI PCC PT WHA TVO ABM AS BAM SNP MGC JMART JMT SINGER INTUCH PPM BJCHI TGE ICHI KTIS UBIS SRS
Fed Comment: สุนทรพจน์ Fed Philadelphia (Non-Voter, N) Patrick Harker พูดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจใน Washington DC
การประชุม ASEAN-Australia special summit ที่เมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลีย (จนถึงวันพฤหัสบดี) โดยนายกฯ เศรษฐา จะเข้าร่วมประชุมด้วย คาดมีการโปรโมทให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เหมือนกับการประชุมในต่างประเทศอื่น ๆ ที่ผ่านมา
ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ/รายงานผลประกอบการบจ. มีต่อเนื่อง
Fund Flows: (Figure 2) นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเดือน ก.พ. 2024 จำวน 2,862 ล้านบาท (USD 82mn.) โดยเป็นการกลับมาซื้อสุทธิครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2023 เป็นต้นมา สอดคล้องกับมุมมองการลงทุนล่าสุดของผู้จัดการกองทุนโลก ที่ให้น้ำหนักลงทุนใน Equities เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flows) เดือน ก.พ. ของตลาดหุ้น Asia Ex-Japan ปรับสูงขึ้นหลายเท่าตัวเป็น USD 10,342.2 bn (Vs เดือน ม.ค. +USD 272.5bn.) โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากการคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและธนาคารกลางโลกมีแนวโน้มหันมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ผ่านการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดี เนื่องจากน้ำหนักของตลาดหุ้นไทยในมุมมองต่างชาติยังคงเป็น Underweight ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาที่ตลาดหุ้นไทยมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฯลฯ
กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ หุ้นที่มีประเด็นข่าวเชิงบวก ได้แก่ NER CPAXT SAPPE
Strategic daily picks
NER ปิด 5.75 บาท/แนวรับ 5.45 บาท แนวต้าน 6.05 บาท
บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาขายยางในปี 2024E มากขึ้น โดยมองราคาขายยางในกรอบ 60-70 บาท/กก. (vs. 53-55 บาท/กก. ในการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งก่อน) และคาด GPM มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 15-16% หนุนจากอุปทานยางที่ตึงตัวขึ้น (จีนเพิ่มปริมาณการนำเข้ายางพารา-เพิ่มปริมาณสต็อกยางพารา ท่ามกลางอุปทานยางของผู้ผลิตรายหลักที่เพิ่มขึ้นจำกัด) KTX ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26E ขึ้น 14-18% สะท้อนการปรับราคาขายยาง และ GPM เพิ่มขึ้น ซึ่งชดเชยการปรับลดปริมาณการขายในปี 2024E จากการเลื่อนการผลิตเชิงพาณิชย์ของโรงงาน STR#3 ออกไปเป็น 2Q25E (จากเดิมที่เราคาดใน 2H24E) และประเมิน 12M FV ที่ 6.52 บาท บน required return ที่ 17.5% และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “Outperform” (จากเดิม Neutral)
CPAXT ปิด 33.00 บาท/แนวรับ 31.75 บาท แนวต้าน 35.75 บาท
ปี 2023 มีกำไรสุทธิ 8.6 พันล้านบาท (B2B 6.0 + B2C 2.6 พันล้านบาท) เพิ่ม 12% YoY จากยอดขายเพิ่ม 4% เป็น 4.7 แสนล้านบาท (B2B โต 7%เป็น 2.6 แสนล้านบาท จาก SSSG 5.3% และ B2C เพิ่ม 1% เป็น 2.1 แสนล้านบาท จาก SSSG 1.3%) รายได้ Mall เพิ่ม 6% เป็น 14 พันล้านบาท ด้านอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย 13.8% (ลด 0.04bps โดย B2C ที่ 18% และ B2B 10.4%) ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน/รายได้รวม 13.4% (B2B เพิ่มจากสาขาใหม่ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่ B2C ลด) ต้นทุนทางการเงินลด 11% หากไม่รวมรายการพิเศษ 137 ล้านบาท จะมีกำไรปกติ 8.7 พันล้านบาท โต 14% YoY และจ่ายเงินปันผล 2H23 ที่ 0.39 บาท/หุ้น ขึ้น XD 5 เม.ย. 2024 KTX คงคำแนะนำ “Outperform” ด้วยมูลค่าเหมาะสม 31.03 บาท(บนอัตราผลตอบแทนคาดหวัง 3.06%) และเบื้องต้นคาดการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในกลุ่มจะทำให้มูลค่าเหมาะสมเพิ่มเป็น 31.48 บาท/หุ้น
SAPPE ปิด 89.75 บาท/แนวรับ 85.00 บาท แนวต้าน 93.00 บาท
ปี 2023 กำไรสุทธิ 1.07 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ มีกำไรปกติ 1.09 พันล้านบาท (ใกล้คาด) เพิ่ม 63% YoY เพราะยอดขายโต 32% จากยอดขายต่างประเทศ (สัดส่วน 81%) โต 39% (บริษัทขยายช่องทางจำหน่ายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีสาขาทั่วประเทศ) และการเติบโตของยอดขายในประเทศ 10% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 17 รายการ ในปี 2023 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 44.8% จาก 40.8% เพราะประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และการลดลงของต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ KTX คงประมาณการกำไรปกติ 1.3 พันล้านบาท ในปี 2024E (+22% YoY) และ 1.5 พันล้านบาท ในปี 2025E (+20% YoY) จากคาดยอดขายเพิ่ม 18%/20% เป็น 7.2/8.6 พันล้านบาท ในปี 2024-25E (บริษัทตั้งเป้ายอดขายโต 20-25% ต่อปี) และอัตรากำไรขั้นต้น 44.2% และคงคำแนะนำ “Outperform” (FV= 93.32 บาท ด้วยวิธี Earnings yield และอัตราผลตอบแทนคาดหวัง 4.5%)