วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Non-Bank Sector ปรับกลยุทธ์การเติบโตโดยการคุมต้นทุนเพื่อโตกำไร
ผลประกอบการของบริษัทนอนแบงก์ทุกแห่งอ่อนแอตลอดทั้งปี ทุกไตรมาส 1Q66-4Q66 โดยกำไรสุทธิทั้งปี 2566 เพิ่มขึ้นเพียง 3% แม้ว่าสินเชื่อเฉลี่ยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 20% ก็ตาม
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรมีแนวโน้มชะลอตัวลง QoQ เพราะ GDP ที่ขยายตัวลดลงส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และ ทำให้คชจ.สำรอง (credit cost) สูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้น ซึ่งฉุดให้มาร์จิ้นลดลง เรามองว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไปใน 1H67
ค่าใช้จ่ายสำรองฯยังไม่ลดปี 2567
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของราคารถมือสองที่ลดลงอย่างมาก (รถทุกประเภท ทั้ง รถยนต์โดยสารรถเพื่อการพาณิชย์ รถบรรทุก และ รถมอเตอร์ไซค์) ทำให้คชจ.สำรองฯ (credit cost) และ ผลขาดทุนจากการขายรถที่ยึดมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ SAWAD และ TIDLOR ซึ่งมีผลขาดทุนหนักจากรายการนี้ โดยราคารถทุกประเภทที่ตกลงมาอย่างหนักเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงหนี้ครัวเรือนที่สูง และ การเติบโตของอุปสงค์รถ EV ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคารถมือสอง (รวบรวมโดย ธปท.) เริ่มจะนิ่งขึ้นในเดือนมกราคม 2567 และ ในขณะที่บริษัทในกลุ่มได้เริ่มมีการปรับลดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อ/หลักประกัน (LTV) สำหรับการปล่อยกู้ใหม่ใน 2H66 ซึ่งอาจจะช่วยลดแรงกดดันทางด้านของ credit cost ลงได้ใน 2H67 ดังนั้น เราจึงคาดว่า credit cost จะยังคงสูงต่อเนื่องใน 1H67 และ อาจจะลดลงได้ใน 2H67 ถ้าหากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทนอนแบงก์ ทุกแห่งตั้งเป้า credit cost ไว้เท่า ๆ กับเมื่อปี 2566
D/E ที่สูงขึ้นไม่เอื้อต่อการขยายสินเชื่อ
บริษัท Non-bank ใช้กลยุทธ์การขยายสินเชื่อ ผ่านการขยายสาขาเพื่อเพิ่มกำไรมาหลายปี แต่อย่างไรก็ตาม สัดส่วน D/E ที่ตึงขึ้น และ ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวจำกัดความสามารถในการชำระหนี้ และ ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทต่าง ๆ ขยายสาขาน้อยลง โดย ณ จุดนี้ บริษัท non-bank ทุกแห่งตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อปี 2567F ในช่วง 10-15% (ลดลงจากเกือบ 20% ในปี 2566)
มาร์จิ้นลดลง
เนื่องจากการแข่งขันเข้มข้นขึ้น บริษัทต่าง ๆ จึงไม่สามารถส่งผ่านต้นทุน credit cost และ ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นไปให้ผู้ใช้บริการได้ ในขณะที่ยีลด์สินเชื่อทรงตัว ดังนั้น ต้นทุนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจึง ฉุดให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสินเชื่อลดลงประมาณ 15bps ในปี 2566 และ คาดว่าจะลดลงอีกในปีนี้ เนื่องจากจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว และ หุ้นกู้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการระดมทุนเพิ่มขึ้นอีก 25-40bps ในปี 2567 เราประเมินว่าที่ระดับนี้ ต้นทุนการระดมทุนของ TIDLOR จะเพิ่มขึ้นมากที่สุด (+40bps) ในขณะที่คาดว่าของ MTC, SAWAD และ KTC จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20bps แต่คาดว่าของ SAK และ HENG จะลดลง
Risks
NPLs เพิ่มขึ้น และ กันสำรองเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง, ผลขาดทุน FVTPL จากการลงทุน.