วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ RBF แนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง
RBF ตั้งเป้ายอดขายจากตลาดต่างประเทศปี 2567F เติบโตราว 17%-20% โดยมุ่งตลาดอินเดีย อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต
ขณะที่ บริษัทวางแผนขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารจากสัตว์ปีก และกลุ่มผู้ให้บริการด้านอาหาร จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเล สำหรับ GPM คาดเพิ่มขึ้น 2%-3% ด้วยแรงหนุนหลักจาก GPM ของกลุ่มแป้งและซอสดีขึ้น นอกจากนี้ RBF ยังมีกลยุทธ์ที่ทำให้ GPM ในกลุ่มแป้งและซอสดีขึ้นจากทั้งการปรับราคาขึ้นและปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ขณะที่ การลดลงของราคาแป้งสาลีเป็นอีกปัจจัยช่วยสนับสนุน ทั้งนี้ RBF ยังมุ่งรักษาสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายให้อยู่ระหว่าง 18%-20% จากอยู่ที่ 19% ในปี 2566
มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น
RBF มุ่งให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้นและมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อว่า “Hello Boy” ในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ บริษัทแนะว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ได้ผลตอบรับด้านบวกโดยอาจสร้างรายได้จากยอดขายอย่างน้อย 120 ล้านบาทได้ในปีนี้ ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในเป้ายอดขายในประเทศของบริษัทที่คาดว่าเติบโตเป็นเลขหลักเดียวในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่ารายได้จากยอดขายน่าจะเพิ่มขึ้น YoY ใน 1Q67F เพราะมีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อจากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มีศักยภาพการเติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่และลูกค้าใหม่
เราคงประมาณการกำไรปี 2567F ที่ 907 ล้านบาท (+40% YoY) ได้แรงหนุนจากยอดขายเติบโต 16% GPM เพิ่มขึ้น 2.6ppts เป็น 40.1% และสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายลดลงอยู่ที่ 18.2% ในขณะที่ ประมาณการยอดขายของเรามองบวกมากกว่าเป้าหมายของบริษัทเล็กน้อย อย่างไรก็ดี การเติบโตยอดขายของ RBF ยังมีควางเสี่ยงด้านสูง (upside risk) จากผลิตภัณฑ์ “Hello Boy” และมีความเป็นไปได้ที่จะมีคำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้าที่ให้บริการด้านอาหารในประเทศรัสเซีย ในทำนองเดียวกัน เราคาดกำไรของ RBF จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 19% อยู่ที่ 1.08 พันล้านบาทในปี 2568F
Valuation & action
เราคงคำแนะนำซื้อ หุ้น RBF ราคาเป้าหมายปี 2567 เดิมที่ 14.50 บาท อิงจาก PER ที่ 32.0x (adjusted PER เฉลี่ย +0.5S.D.) ทั้งนี้ RBF ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดที่ 0.175 บาท/หุ้น (ขึ้น XD วันที่ 3 พฤษภาคม 2567) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 1.5%
Risks
ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น และเศรษฐกิจถดถอย