วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การปรับลดลงในช่วงมิ.ย.จะเป็นโอกาสซื้อที่ดีที่สุดในรอบ 12-18 เดือน
การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรและการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันการขายทำกำไร ตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ และยุโรปปรับลดลง
โดยมีสาเหตุสำคัญจาก 1) ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ ปรับขึ้นแตะ 4.6% สูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ หลังผลการประมูลพันธบัตร 5 ปีสหรัฐฯ มีการตอบรับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (Bid-to-cover ratio ที่ 2.3 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยที่ 2.45 เท่า) 2) ดัชนีความผันผวน VIX แตะ 14.28 เพิ่มขึ้น 10.53% 3) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มเป็น 105.117 จาก 104.613 จุด // ความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ และแรงขายทำกำไรหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ สอดคล้องกับที่เราประเมินตลาดช่วง พ.ค.-มิ.ย. มีโอกาสผันผวน แต่จะเป็นโอกาสลงทุนที่ดีสำหรับ 12-18 เดือนข้างหน้า เรายังยืนยันมุมมองดังกล่าวโดยเฉพาะการเข้าลงทุนหุ้นไทย
ภาพทางเทคนิคของตลาดอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงมุมมอง Valuation หุ้นไทยแข็งแกร่งแถว 1,300 จุด การหลุดแนวรับระยะ 6 เดือน ที่ 1,355 จุด ทำให้แนวโน้มระยะสั้นเป็นลบมากขึ้น นอกจากนี้การพิจารณาองค์ประกอบของตลาด (Market breath) จะเห็นการอ่อนกำลังขององค์ประกอบในหุ้นรายตัว เมื่อพิจารณาจาก 1) จำนวนหุ้นที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ที่ลดลงต่อเนื่อง โดย SET50 เหลือ 16 ตัว (จาก 33 ตัว เมื่อ 17 พค ขณะที่ SET เหลือ 298 ตัว (จาก 361 ตัวเมื่อ 17 พ.ค.) 2) สัดส่วนหุ้นที่มีโมเมนตัมและทิศทางเชิงบวกใน SET50 ที่เหลือเพียง 26% ขณะที่โมเมนตัมและทิศทางเชิงลบ 46% 3) จำนวนหุ้นใน SET50 ที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (ห่างไม่เกิน 20%) มีจำนวน 3 ตัว ขณะที่หุ้นใน SET50 ที่ทำจุดต่ำสุดแล้วหรือจ่อใกล้ทำจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (ห่างไม่เกิน 20%) มีจำนวน 20 ตัว // ปัจจัยข้างต้นมีโอกาสฉุดโมเมนตัมของ SET Index ลง อย่างไรก็ตาม Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแข็งแกร่งที่ 1,300-1,500 จุด การปรับลดลงใกล้กรอบล่างดังกล่าวในช่วง มิ.ย. จากความกังวลปัจจัยภายนอก และการเมืองในประเทศ เรามองเป็นโอกาสในการซื้อ
ภาพรวมกลยุทธ์ ปัจจัยกังวลต่างๆ รวมทั้งการลดน้ำหนักของ MSCI ทำให้คาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งลง 1,300-1,330 จุด ซึ่งจะเป็นโอกาสซื้อที่ดีที่สุดในรอบ 12-18 เดือน และด้วย Valuation ของ SET ที่แข็งแกร่งในระดับ 1,300 จุด เราประเมินความเสี่ยงของการลงแรงถึงระดับ 1,100-1,200 จุด อยู่ในระดับต่ำ
หุ้นแนะนำ: SCGP*, STP*, BSRC*, BBGI*
แนวรับ: 1,300-1,330 / แนวต้าน : 1,355 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ
พรุ่งนี้มี MSCI Rebalancing - หุ้นเข้า-ออก MSCI Rebalancing รอบใหม่ BTS-LH-MTC หลุด Global Standard ส่วน JTS ติดโผลกลุ่มหุ้น Small Cap ในขณะที่หุ้นที่ถูกนำออกมี 10 บริษัท ประกอบด้วย KSL-BLAND-DITTO-FORTH-MAJOR-PSL-RS-SGP-SPCG-WHAUP (อินโฟเควสท์)
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จากเดิมที่เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลไทยวางแผนใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้กับธปท.(อินโฟเควสท์)
ทองฟิวเจอร์ร่วงหลุด $2,370 ดอลล์แข็ง,บอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด - ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงลงหลุดระดับ 2,370 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (อินโฟเควสท์)
รมว.คลัง พร้อมหารือ FETCO วางแผนรื้อฟื้น LTF เร็วๆนี้ –รมว.คลัง พร้อมหารือ FETCO หาแนวทางฟื้นกองทุน LTF เร็วๆนี้ ชี้พร้อมเมื่อไหร่นัดได้เลย พร้อมรับฟัง ธปท. เตือนเพิ่มงบขาดดุลจะกระทบฐานะการคลัง ส่วนหนี้สาธารณะ ยืนยันยังไม่ชนเพดาน และบริหารจัดการได้ (อินโฟเควสท์)
31 พ.ค. ศาลอาญาฯทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง ฟ้อง 5 กสทช. - ศาลอาญาทุจริตฯรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ปม ไตรรัตน์ เป็นโจทย์ฟ้องกรรมการ กสทช. ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เดี่ยวกับการสรรหาตำแหน่งเลขาธิการ หรือไม่ (อินโฟเควสท์)
BAM - คิกออฟ ลดเวลาติดแบล็กลิสต์ - พิชัย เล็งแก้กฏหมาย ลดระยะเวลาลูกหนี้ติดแบล๊กลิสต์รวมไม่เกิน 4-5 ปี ขณะที่ออมารลงนาม BAM ตั้ง AMRC รับซื้อหนี้เสียแบงก์รัฐในราคาส่วนลด ประเดิมลูกหนี้รายย่อยออมสินอายุมากกว่า 1 ปี มูลหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท จำนวน 5 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.5 หมื่นล้านบาท คาดแบงก์ชาติอนุมัติไลเซนส์ใน 1-2 เดือน เริ่มดำเนินธุรกิจ ก.ค. นี้ (ข่าวหุ้น)
3K-BAT เผย Energywith ผู้ถือหุ้นใหญ่ มีแผนนำหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ เตรียมตั้งโต๊ะทำ Tender หุ้นที่เหลือจำนวน 1.5 ล้านหุ้น หรือ 1.94% ราคาหุ้นละ 54 บาท/หุ้น (อินโฟเควสท์)
ประเด็นติดตาม: 31 พ.ค. CN NBS Manufacturing PMI (May)/ US PCE Price Index (Apr)
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)