วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ขึ้นซื้อ (น้อยหน่อย) ลงซื้อ (มากหน่อย)

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ขึ้นซื้อ (น้อยหน่อย) ลงซื้อ (มากหน่อย)

มีโอกาสฟื้นตัว แต่องค์ประกอบทางเทคนิคชี้การขึ้นแบบมีแนวโน้มต้องใช้เวลาอีกระยะ ในช่วงชม.สุดท้าย SET Index ฟื้นจาก 1,281.87 จุด (-15.54 จุด) มาปิดที่ 1303.82 จุด (+6.41 จุด) จากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงาน

ขณะที่หุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นกลุ่มหลักที่ประคองบรรยากาศซื้อขายตลอดทั้งวัน ระยะสั้นตลาดมีโอกาสฟื้นตัวจากสัญญาณทางเทคนิคหลายประการ 1) การเกิด Bullish divergence ในกรอบเวลาระดับชั่วโมง 2) การเจอแนวรับจากวัฏจักรเวลา (Time cycle) วันที่ 18-19 มิ.ย. 3) จำนวนหุ้นที่ยืนเหนือค่าเฉลี่ย 20 วัน ใน SET50 ลดลงมาอยู่ในระดับ 7 ตัว ซึ่งใกล้เคียงกับระดับที่มักมีการเริ่มฟื้นตัวในช่วง 20 เดือนที่ผ่านมา (ซึ่งมักจะอยู่ที่ 4-7 ตัว) // แม้ปัจจัยข้างต้นทำให้ SET Index มีโอกาสฟื้นจากภาวะขายมากเกินในระยะสั้น แต่องค์ประกอบของการเคลื่อนไหวของดัชนี (Market breath) บ่งชี้ว่าอาจต้องใช้เวลาอีกระยะถึงจะเห็นการขึ้นอย่างจริงจังเมื่อพิจารณาจาก 1) การเปลี่ยนโมเมนตัมหุ้นหลายๆตัวให้พลิกจากลบกลับมาบวก 2) จำนวนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ ที่จะช่วยรับช่วงเคลื่อนไหว ยังมีจำกัดเกินไป 

ยังเน้นเลือกรายตัว โดยไม่คาดหวังเงินทุนต่างชาติ จนกระทั่งต้นปี 2568 ในระยะ 1 เดือนนี้ กลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมมีโมเมนตัมเชิงบวกทั้งพื้นฐาน และภาพทางเทคนิค ได้แก่ อาหาร, สื่อสาร, การแพทย์, บรรจุภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์ โดยธนาคารจะเป็นกลุ่มที่ไม่ดีไม่แย่ (ลงซื้อ/ขึ้นขาย) นักลงทุนและนักเก็งกำไรเน้นเลือกหุ้นในกลุ่มดังกล่าว หรือหุ้นกลาง-เล็กที่มีปัจจัยเฉพาะตัว โดยไม่ควรคาดหวังการมาของเม็ดเงินต่างชาติ เพราะในระยะสั้นความน่าสนใจของตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ มีสูงกว่า การหมุนของเงินทุนกลับมายังตลาดหุ้นเกิดใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อ Dollar Yield Premium ลดลง ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2568 

 


 

ภาพรวมกลยุทธ์ ทยอยแบ่งไม้ซื้อ เรามอง SET เข้าสู่จุดซื้อที่ดีที่สุดในรอบ 12-18 เดือน ข้างหน้า ด้วย Valuation ของ SET ที่แข็งแกร่งในระดับ 1,300 จุด ประเมินความเสี่ยงของการลงอยู่ที่ระดับ 1,270-1,290 และการลงถึงระดับ 1,100-1,200 จุด อยู่ในระดับต่ำ // หุ้นเด่น (Top picks) สำหรับครึ่งปีหลัง 2567 ที่เราแนะนำคือ ADVANC, BSRC, BTG, CK, CPALL, CPF, KBANK, MTC, OSP, SCGP, TIDLOR และ TU

หุ้นแนะนำ: SCGP*, TU*, BTG*, SYNEX*

แนวรับ: 1,270-1,290 / แนวต้าน : 1,311-1,335 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ    

"FUND FLOW" ครึ่งแรก 67 ไหลออก FUND FLOW ไหลออกจากไทย หนักสุดในภูมิภาค ครึ่งแรก 67 กว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่ไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่ม TECH "ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ " มากสุด 3.8 หมื่นล้าน,1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯตามลำดับ "ไพบูลย์" แนะรัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นกอบกู้เศรษฐกิจให้โตไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี ผลักดันกองทุน LTF เกิด (ฐานเศรษฐกิจ)

วันที่ 19-21 มิ.ย.2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) มีกำหนดพิจารณาเรื่องด่วน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วงเงิน 3.752 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ในวาระที่ 1 ชำแหละ‘ร่าง พ.ร.บ.งบ 68’ เตือนรบ.ก่อหนี้เพิ่ม แต่กระตุ้นGDPน้อย-รายจ่ายบุคลากรรัฐ 36.6% (สำนักข่าวอิสรา)

สุริยะ มั่นใจโครงการ Landbridges เกิดในรัฐบาลนี้ นัดหารือนายก 1 ก.ค. ประธานดูไบเวิลด์ เตรียมหารือ นายกฯ 1 ก.ค. นี้ ถกร่วมทุนโครงการแลนด์บริดจ์ มูลค่า 1 ล้านล้านบาท สุริยะ ย้ำโครงการเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในรัฐบาลนี้ หลังเร่งผลักดัน พ.ร.บ. SEC เข้า ครม. ภายใน ก.ย. นี้ ก่อนประกาศเชิญชวนนักลงทุนภายในไตรมาส 4/68 (อินโฟเควสท์)
 

ตลท. แจงเหตุหุ้น NEX,NRF ร่วงแรง เหตุถูก forcesell จากใช้วางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น - โดยบริษัทจดทะเบียน ได้ชี้แจงตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สอบถามว่า ไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ส่งผลต่อสภาพการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับมีข่าวพาดพิงผ่านสื่อว่า ราคาหลักทรัพย์ที่ปรับลงเกิดจากการ Short sell, Program trading นั้น (อินโฟเควสท์)

เปิดโผหุ้นมาร์จิ้น 29 อันดับแรก ทั้งระบบ – SCM, GPI, SAAM, TFG, YGG, SA, A5, KUN, NRF, GLORY, IP, JSP, SFLEX, BM, III, CGD, SBNEXT, UKEM, READY, FVE, DEMCO, APCS, WARRIX, SAMART, PJW, TRITN, BEYOND, SSP, NER (ฐานเศรษฐกิจ)

มูลค่าการขายชอร์ตเซลล์ – มูลค่าการขายชอร์ตมากสุด 5 อันดับแรกวานนี้ ได้แก่ PTT, CPALL, TOP, EA, SCB ระวังการปรับลงของราคา


ประเด็นติดตาม 20 มิ.ย. – พิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณปี 68, BoE Interest  Rate Decision, 21 มิ.ย. – JP CPI (May)

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)