วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ AEONTS คุณภาพสินทรัพย์แย่ลง
หลังจากที่คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นใน 4Q66 (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2567) สถานการณ์พลิกกลับใน 1Q67F (สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม) โดย NPL เพิ่มขึ้น และ สัดส่วนสำรองหนี้เสียฯ/NPL (NPL coverage) ลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาสก่อน AEONTS มีการกลับรายการสำรองฯเป็นรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท จากการเปลี่ยนนโยบายบัญชี ส่งผลให้กำไรใน 4Q66 สูงเกินจริง อย่างไรก็ตามการปรับเกณฑ์การชำระค่างวดรายเดือนขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% เมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่จ่ายขั้นต่ำไม่สามารถผ่อนขั้นต่ำไหวกลายเป็นหนี้ผิดนัดชำระ ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าที่ชำระขั้นต่ำคิดเป็น 50-60% ของฐานลูกค้าทั้งหมด
ค่าใช้จ่ายสำรองฯ จะสูงไปอีกนาน
เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ในไตรมาสก่อนต่ำเกินไป ดังนั้น การที่ NPLs ขยับเพิ่มขึ้นจึงจะทำให้ credit cost เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคาดว่าอยู่ที่ 8.25% ในไตรมาสนี้ (จาก 5.7% ใน 4Q67 และ จากเฉลี่ย 8% ในปี 2565-2566) และ ฉุดให้สัดส่วน NPL coverage ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 155-160% (จาก 183% ในไตรมาสก่อนหน้า) สำหรับในระยะต่อไป เราคาดว่า credit cost จะสูงต่อไปตลอดปี 2567-2568 เนื่องจากจะมีเข้าสู่เฟสที่สองของการปรับเพิ่มเกณฑ์การชำระค่างวดรายเดือนขั้นต่ำจาก 8% เป็น 10% ในขณะที่แรงงานในภาคอุตสาหกรรมตกงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการปรับสถานะหนี้อีกระลอก
คาดว่ากำไรใน 1Q67F จะอยู่ที่ 687 ล้านบาท
เราคาดว่ากำไรใน 1Q67F จะอยู่ที่ประมาณ 687 ล้านบาท (-37% QoQ and +11% YoY) โดยใช้สมมติฐาน
credit cost ที่ 8.2% และ คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 1% QoQ แต่ลดลง 1% YoY ซึ่งรายได้ที่โตต่ำเป็นเพราะ
การชะลอตัวของสินเชื่อ P-Loan ซึ่งมี yield สูง
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567/2568F ลงปีละ 20%, ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2567F เหลือ 138 บาท,
เราคิดว่า AEONTS เป็นบริษัทนอนแบงก์ที่อ่อนแอที่สุดจากการมีพอร์ตสินเชื่อ P-Loan ในระดับสูง ซึ่งสินเชื่อกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับสินเชื่อกลุ่มอื่น ๆ นอกจากนี้ ลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่มีรายได้ต่อเนื่อง <10,000 บาท ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังบีบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงมาต่ำจนไม่สามารถจะลดลงไปได้อีกแล้ว เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐาน credit cost ปี 2567/2568 เป็น 8%/8% (จากเดิมปีละ 7%) และ ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2567F ลงเหลือ 138 บาท (de-rate PE เหลือ 11.2x (PE เฉลี่ย -0.5S.D.) จากเดิมที่ 12.5x
Risks
เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ทางการกดดัน yield สินเชื่อ, NPLs เพิ่มขึ้น).