วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น และสหรัฐฯ
ผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ ดี แต่ความคาดหวังของตลาดก็ค่อนข้างสูง บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, P&G, Merck&Co, AMD, Pfizer เป็นต้น
โดย Microsoft และ AMD ให้มุมมองธุรกิจ (Guidance) ค่อนข้างสดใส ซึ่งผลักดันด้วยการเติบโตจากธุรกิจ cloud & data center และการลงทุนที่เกี่ยวกับ AI ราคาหุ้นสหรัฐฯ ช่วงหลังปิดตลาด (after hour) ในกลุ่มที่เกี่ยวกับชิป ปรับตัวขึ้น แม้แนวโน้มผลประกอบการจะยังแข็งแกร่ง แต่อาจต้องระวังความผันผวนจากความคาดหวังที่สูง ผลประกอบการบจ.ที่สำคัญสัปดาห์นี้ ได้แก่ META (31 ก.ค.), AMZN และ AAPL (1 ส.ค.)// สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ การเปิดรับสมัครงาน (JOLTS) มิ.ย. ออกมาที่ 8.18 ล้านตำแหน่ง (ลดลง 46,000 ตำแหน่ง จาก 8.23 ล้านตำแหน่ง แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 8.0 ล้านตำแหน่ง)
ติดตามถ้อยแถลงของ BOJ และ FED การปรับนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจส่งผลต่อความผันผวนของกระแสเงินทุน หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากช่วงปัจจุบันที่ 0 ถึง 0.1% และประกาศแผนการลดการซื้อพันธบัตร (QT) อาจทำให้ตลาดผันผวนจากการขายสินทรัพย์เสี่ยงคืนเงินกู้สกุลเยนได้ ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ตลาดคางคงดอกเบี้ย แต่รอดูการส่งสัญญาณทิศทางเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงการประชุม ก.ย.
ปัจจัยติดตามในประเทศ 1) ครม.อนุมัติการปรับเกณฑ์ Thai ESG Fund (TESG) ครม.เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดเป็น 3 แสนบาท (จากเดิม 1 แสนบาท) ลดระยะเวลาลงทุนเหลือ 5 ปี (จากเดิม 8 ปี) เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุน 2) ยังไม่มีการเสนอเรื่อง Digital Wallet เข้าครม.โดยอาจรอดูยอดการลงทะเบียน 3) ผลประกอบการ PTTEP (+13.96% YoY), MST (-29.55% YoY), HMPRO (+0.11% YoY) 4) กลุ่มธนาคารปรับขึ้นดี คาดเกิดจากกระทรวงการคลังปรับเพิ่ม GDP ปี 2567 เป็น 2.7% (จาก 2.4%) บวกต่อแนวโน้มสินเชื่อ และผลบวกจาก TESG หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ เราชอบ KBANK และ SCB
ภาพรวมกลยุทธ์ มีโอกาสฟื้นในรายตัวหลังกลับมาอยู่ในกรอบ 1,290-1,320 จุด อย่างไรก็ตาม ระมัดระวังในกลุ่มที่มีการปรับประมาณการกำไรลง โดยโฟกัสกลุ่มที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก และสามารถทยอยสะสม ไฟฟ้า รีทส์ ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง
แนวรับ: 1,290-1,300 / แนวต้าน : 1,310-1,320 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• CPNREIT* (12) : แนวโน้มผลประกอบการได้รับปัจจัยบวกจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงที่คาดว่าจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 67 และทั้งปี 68 ตัดขาดทุน 10 บาท
• 3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท
• CPALL* (63) : หุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก คาดผลประกอบการปี 2567 เติบโต 29% ได้ประโยชน์จากท่องเที่ยวและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ตัดขาดทุน 55 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ครม.เห็นชอบปรับเกณฑ์ "กองทุน ThaiESG" ใหม่ ขยายวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้เป็น 300,000 บาท ลดเวลาถือครองเหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี
- “ชัชวาลย์ เจียรวนนท์” ลาออกกรรมการ EA มีผลตั้งแต่ 28 ก.ค.67
- 7 เดือนแรก ต่างชาติเที่ยวไทยทะลุ 20 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีนแตะ 4 ล้านคน
- NUSA จำนำหุ้น WEH กู้พันลบ.จาก "ธนา พาวเวอร์" ใช้เป็นทุนหมุนเวียน-คืนหนี้ครบกำหนด
- HMPRO กวาดรายได้ H1/67 กว่า 3.7 หมื่นลบ.กำไรโต 3.2% รับ Easy E-Receipt-เปิดสาขาใหม่
- HMPRO แนะนำ“ซื้อ” เป้า12.10 บ./ PTTEP แนะนำ“ซื้อ”เป้า 200บ./AMARA แนะนำ“ซื้อ”เป้า 30 บ./ DELTA แนะนำ “ซื้อ” เป้า 115 บ.
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
2 ส.ค. – Non Farm Payrolls (Jul)