วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การฟื้นตัวอาจเริ่มชะลอ กลับไปมองที่ผลประกอบการ
ภาพรวมการลงทุนชะลอตัวระหว่างรอติดตามพัฒนาการในตลาดเงินตลาดทุน หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยยังคงมีแรงฉุดจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
และหลังผลการประมูลพันธบัตร 10ปี สหรัฐฯ วงเงิน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ มีความต้องการประมูล (bid-to-cover) ที่ 2.32 เท่า ต่ำสุดนับจาก ธ.ค.65 (ค่าเฉลี่ยนับจาก ม.ค.66 อยู่ที่ 2.43 เท่า สูงสุดที่ 2.50 เท่า) ทั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกหากมองว่า 1) ผลตอบแทนพันธบัตรลดลงมาเร็วเกินไป และสะท้อนการปรับลดดอกเบี้ยในระดับประมาณ 5 ครั้งแล้ว 2) ตลาดอาจกังวลว่าการลดดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น กระตุ้นการ Unwind Yen Carry Trade ทำให้สหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เร็วดังคาด // ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ากลับไปสูงสุดถึง 147.9 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นอาจเริ่มชะลอ เพื่อติดตามพัฒนาการของสถานการณ์แวดล้อม โดยเฉพาะ 1) การประชุมประจำปีเฟด 22-24 ส.ค. ระยะสั้นคาดตลาดจะกลับไปมองยังการรายงานผลประกอบการหุ้นรายตัว 2) ติดตามรายงานการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันนี้ ซึ่งเนื้อหาการหารืออาจทำให้ตลาดกังวล
การยุบพรรคก้าวไกลมีผลต่อตลาดจำกัด คดีสำคัญคือการพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำตัดสินให้ยุบพรรคก้าวไกล ส่งผลให้พรรคถูกยุบและสมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี เรามองเป็นลบต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นจำกัด เนื่องจากไม่กระทบต่อการดำเนินนโยบายภาครัฐ คดีที่สำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดมากกว่าคือการพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี 14 ส.ค. หากศาลตัดสินให้คุณเศรษฐา พ้นตำแหน่ง จะทำให้เกิดความกังวลต่อความล่าช้าของการผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ และแนวนโยบาย อย่างไรก็ตามด้วยความที่พรรคแกนนำยังคงเป็นเพื่อไทย เรามองนโยบายต่างๆจะยังคงถูกผลักดันแม้ในกรณีเกิดความเปลี่ยนแปลงต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา
ภาพรวมกลยุทธ์ การฟื้นตัวอาจเริ่มชะลอ ติดตามรายงานการประชุม BOJ ที่อาจกำหนดโทนของตลาดจากประเด็น Yen Carry Trade ยังมองเงินมีโอกาสเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย คาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด ขณะที่ใชัจังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก
แนวรับ: 1,270-1,282 / แนวต้าน : 1,305 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPNREIT* (13) : กลุ่มโรงไฟฟ้าและรีทส์มีแนวโน้มเป็นกลุ่มพักเงินในช่วงเงินย้ายจากกลุ่มเทคโนโลยี ไปยังกลุ่มอื่นๆ ตัดขาดทุน 10.50 บาท
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• 3BBIF* (6.50) : กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์ด้าน Valuation จากดอกเบี้ยขาลง ขณะที่การปรับโครงสร้างในกลุ่มของ GULF-INTUCH เป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อการมีสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองเพิ่มเติม ตัดขาดทุน 5.35 บาท
• GUNKUL* (2.40) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 เติบโต QoQ, YoY และเข้าสู่ high season ไตรมาส 3 ขณะที่ผลตอบแทนปันผลระหว่างกาลสูงถึง 4% ตัดขาดทุน 1.955 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ “ยุบพรรคก้าวไกล” ตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร 10 ปี
- ฮุนได เข้าลงทุนในไทย 1 พันล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV
- EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด
- ADVANC กำไรสุทธิ Q2/67 โต 19% หลังรับรู้ EBITDA ของ TTTBB ยอดผู้ใช้ 5G โตแกร่ง
- BSRC กำไรครึ่งปีแรก 1,077 ลบ. สร้างสถิติการกลั่นสูงสุด-ยอดขายโตต่อเนื่อง
- ICHI ไตรมาส 2/67 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 378.87 ลบ.
- ITC แนะนำ “ซื้อ” เป้า 27บาท/ STEC แนะนำ “ถือ” เป้า 9.20บาท/ MEB แนะนำ “ซื้อ” เป้า 42บาท
- ผลประกอบการไตรมาส 2/64 ออกมาดี MEB, GUNKUL, SAV, TNP, TNR, TPCH, TU
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
9 ส.ค. – CN Inflation Rate (Jul)