เวสต์เทกซัส 74.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล เบรนท์ 79.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับ ราคาน้ำมัน

(+) ราคาน้ำมันดิบ ปรับเพิ่มกว่า 2% หลังประธาน Fed ได้แถลงในที่ประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าถึงเวลาที่นโยบายการเงินของ Fed จะต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวและความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นได้ลดลง โดยประธาน Fed แสดงความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ 2% ในส่วนระยะเวลาและระดับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น

(+) Morgan Stanley ได้ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการลดลงของปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ซึ่งปรับลดเฉลี่ยวันละ 1.2 ล้านบาร์เรลในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้ดุลยภาพของตลาดน้ำมันค่อนข้างตึงตัว และคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปตลอดช่วงไตรมาสที่ 3 นี้

(-) ราคาน้ำมัน ได้รับแรงกดดัน จากการคลายความกังวลในผลของสงครามต่ออุปทานน้ำมันดิบ เนื่องจากสหรัฐฯ และอิสราเอลได้เริ่มการพูดคุยรอบใหม่เพื่อปรับเงื่อนไขในข้อเสนอหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน

(+/-) Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ส.ค. 67 ไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ระดับ 483 แท่น ในขณะที่แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติปรับลดลง 1 แท่น มาอยู่ที่ระดับ 97 แท่น

 

 

 

 

ราคาน้ำมันเบนซิน

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นใกล้เคียง ราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอินโดนีเซียรายงานตัวเลขนำเข้าน้ำมันเบนซินในสัปดาห์นี้ เพิ่มขึ้น 31% อยู่ที่ระดับ 0.22 ล้านตัน จากความต้องการใช้ในประเทศที่สูงขึ้น นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังรายงานตัวเลขนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 105% ในสัปดาห์นี้ อยู่ที่ระดับ 0.36 ล้านตัน สะท้อนอุปสงค์ในภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น

ราคาน้ำมันดีเซล

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปสงค์ในภูมิภาคยังคงอ่อนแอ และปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่าอุปสงค์น่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงฤดูหนาวจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในการทำความร้อน ขณะเดียวกัน ราคาได้รับแรงหนุนหลังสิงคโปร์รายงานตัวเลขน้ำมันดีเซลคงคลังลดลง 5% อยู่ที่ระดับ 11.4 ล้านบาร์เรล