วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลุ้นยืน 1400
วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 1,400 จุด โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล และแรงเก็งกำไรก่อนการเปิดขายกองทุนวายุภักษ์ ในวันที่ 16-20 ก.ย.นี้ และเริ่มลงทุนในหุ้นไทย วันที่ 1 ต.ค. มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน ไอซีที ค้าปลีก และธนาคาร
ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,404.28 จุด +38.79 จุด +2.84% มูลค่าการซื้อขาย 81,736.15 ลบ. Program Trading +5,550.31 ลบ. ต่างชาติ +7,484.60 ลบ. TFEX +4,940 สัญญา ตราสารหนี้ +5,513.14 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ ล่าสุด FedWatch Tool บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 45% ที่ FED จะปรับลด อัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. หลังจาก ให้น้ำหนักเพียง 34.0% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
+ สหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีภาคบริการปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 51.4 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 51.1 ดัชนีสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการขยายตัว
+ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) และเดินหน้าดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
+ สนค. เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) บ่งชี้เงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค.67 เพิ่มขึ้น 0.07%MoM และเพิ่มขึ้น 0.35%YoY เพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ในอัตราที่ชะลอตัวลงและต่ากว่าตลาดคาดการณ์ที่ 0.40-0.48%YoY ส่วนเงินเฟ้อสะสม 8 เดือน ของปี 67 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.15% แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปใน 4Q67 เฉลี่ย 1.5% อยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท. ที่กำหนดไว้ 1-3% โดยกระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ไว้ตามเดิมที่ 0-1%
+ กระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปี 67 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ และน่าจะอยู่ระดับ 2.7-3% ต่อปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่มีแรงหนุนทางเศรษฐกิจเข้ามามากทั้งจากการเสนอขายกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่จะเข้ามาในระบบอีก 1.45 แสนล้านบาท และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 68 ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.67
+ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระที่ 3 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท โดยจะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาในวันที่ 9-10 ก.ย.
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 219.22 จุด หรือ -0.54% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แค่ในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่จะ เทขายหุ้นในเวลาต่อมา นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 5 เซนต์ หรือ -0.07% ปิดที่ 69.15 ดอลลาร์/บาร์เรลต่าสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 กังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐและจีน รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ลิเบียจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด และข่าวกลุ่มโอเปคพลัสอาจชะลอแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
- ADP เปิดเผยว่าการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 99,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 140,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 111,000 ตำแหน่ง ในเดือนก.ค
- ตลาดหุ้นฮ่องกงมีแนวโน้มระงับการซื้อขายในช่วงเช้าวันนี้ (6 ก.ย.) เนื่องจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฮ่องกงขยายเวลาเตือนภัยพายุไต้ฝุ่นยางิ (Yagi) ซึ่งเคลื่อนตัวผ่านฮ่องกงเมื่อคืนนี้กำลังมุ่งหน้าสู่พื้นที่ตอนใต้ของจีน
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้พักตัว หลังปรับตัวขึ้นแรงวันก่อน โดย Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หลังการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มเป็นรูปธรรม มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,400-1,420 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า : BGRIM GPSC EGCO RATCH TVO TMILL JUBILE SYNEX SIS
• FTSE Large Cap เข้า – ออก CRC EA MINT PTTGC OR FTSE Mid Cap เข้า – ออก BLA มีผล 6 ก.ย.
• หุ้นได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมหลังน้ำท่วม : TASCO DOHOME GLOBAL DCC DRT TOA DPAINT
• ยอดส่งออกไทยเดือน ก.ค. เติบโต : STA NER CPF GFPT AAI ITC
• หุ้นได้ประโยชน์จากรัฐบาลใหม่ : CK STEC SEAFCO BJC CPALL CPAXT TNP
หุ้นรายงานพิเศษ
CH แนะนำ "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม Bloomberg concensus 3.50 บาท)
"กำไรสุทธิ 2Q67 +110%QoQ และ +230%YoY"
•รายงานกำไรสุทธิ 2Q67 ที่ 71 ลบ. +110%QoQ +230%YoY มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 26%QoQ และ 30%YoY โดยหลักมาจากการขายผลไม้อบแห้ง +28%QoQ +31%YoY โดยเฉพาะการขายในประเทศที่เติบโตสูง +74%QoQ และ +91%YoY (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 22%) และการขายในต่างประเทศ +19%QoQ และ +29%YoY (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 78%) ขณะที่บริษัทคงราคาขายให้เท่ากับปีก่อน จึงเป็นราคาที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นช่วง High season ทำให้มีคำสั่งซื้อจำนวนมาก อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 23% เพิ่มขึ้นมากจาก 14% ในช่วง 2Q66 และ 17% ในช่วง 1Q67 จากการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนของวัตถุดิบหลักอย่างมะม่วงปรับตัวลง ตั้งแต่ช่วงปลายปี 66 ราว 6-12% นอกจากนี้บริษัทสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มี %SG&A/Sale เท่ากับ 9.5% ลดลงจาก 11.1% ใน 1Q67 และ 9.6% ใน 2Q66 ส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิที่ 11% เพิ่มขึ้นจาก 4% ในช่วง 2Q66 และ 7% ในช่วง 1Q67 โดย 1H67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 105 ลบ. +560%YoY
•ความเห็น เรามีมุมมองบวกต่อผลประกอบการ 2Q67 ที่เติบโตอย่างมาก จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคา และการผลิตที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วง 1H67 บริษัทได้รับคำสั่งซื้อครอบคลุมเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 1,900 ลบ. สามารถทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2H67 โดย Bloomberg Concensus คาดกำไรปี 2567 ราว 132 ลบ. +134%YoY กำไรในช่วง 1H67 คิดเป็น 80% ของประมาณการทั้งปี จึงคาดการณ์ว่าจะเห็น consensus ทบทวนปรับเพิ่มประมาณการใหม่ ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +6%YTD มี P/E 14X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ของกลุ่ม 36X ราคาเหมาะสม Consensus 3.50 บาท Upside ราว 38% เราจึงแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) TRP (ราคาเหมาะสม 9.75 บาท)ลั่นผลงานไตรมาส 3/67 โต! หลัง “ธีรพรคลินิก" ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ตั้งเป้าดึงลูกค้ากลุ่ม Price Sensitve กลับเข้าพอร์ต พร้อมเพิ่มลูกค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อราคา เพิ่มบิลยอดใช้จ่ายต่อเคส เร่งสร้างโรงพยาบาลธีรพร กำหนดเปิดไตรมาส 1/68 เน้นเจาะลูกค้าต่างประเทศ ส่วนราคาหุ้นดิ่ง ยันผู้บริหารไม่ได้ซื้อหุ้นออก แต่ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม (ที่มา ข่าวหุ้น)
(+) ORN (Bloomberg Consensus 2.03 บาท) “อรสิรินโฮลดิ้ง” เปิดตัวทีมบริหารโรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand แต่งตั้ง “ดร.ยุทธชัย ดำรงมณี” นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการ และ “กันยาณรรค์ รัตนศาสตร์ชาญ” นั่งผู้จัดการ เตรียมเปิดการศึกษาแรกระดับ Nursery-Year 6 ในเดือนกันยายน 2568 (ที่มา ข่าวหุ้น)
(+) WPH (Bloomberg Consensus - บาท)ประเมินผลงานครึ่งหลังปีนี้โตแรง! เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น หนุนผู้ป่วยต่างชาติ-คนไทยใช้บริการเพิ่ม เดินหน้าขยายพอร์ตรับผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่ม คาดเริ่มให้บริการเฟสแรกต้นปี 68 ปักหมุดรายได้ปี 70 พุ่งแตะ 4,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง(ที่มา ข่าวหุ้น)
(+) BCPG (Bloomberg Consensus 7.72 บาท)กางแผนขยายลงทุน โกยกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เข้าพอร์ตหนุนการเติบโต ลุยต่อโรงไฟฟ้าสหรัฐฯ ทั้งก๊าซและพลังงานหมุนเวียน พร้อมเดินหน้าเก็บโรงไฟฟ้าพลังน้ำแนวสายส่งลาว-เวียดนาม ขณะที่ฟิลิปปินส์ยังมีโอกาสคว้าโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม จับตาออสเตรเลียมีโอกาสลงทุน BESS เพียบ คาดเห็นความชัดเจนช่วงที่เหลือของปีนี้ (ที่มาข่าวหุ้น)