กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ… ทางเรามองอย่างไร?

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ… ทางเรามองอย่างไร?

Donald Trump มีโอกาสชนะเลือกตั้งมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับเงินเฟ้อ และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่จะพุ่งสูงขึ้น

อีกสองสัปดาห์จะถึงกำหนดเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โพลล์ล่าสุดชี้ว่า Kamala Harris มีคะแนนนำหน้า Donald Trump น้อยลงกว่าเดิม ในขณะที่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า Trump นำหน้า Harris ในรัฐที่จัดเป็น swing states ทั้งเจ็ดรัฐ ดังนั้น ตลาดจึงปรับความคาดหมายไปในทางที่ Trump อาจจะชนะการเลือกตั้งมากขึ้น ทั้งนี้ วาทกรรมในเชิงปกป้องสหรัฐแบบสุดต้อง (excessive protectionism) น่าจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และ เมื่อบวกกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุดที่ฟื้นตัวได้ดี น่าจะทำให้ i) เกิดความสงสัยเกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ FOMC ii) ดัชนี US Dollar Index และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งสูงขึ้น และ iii) ตลาดหุ้นเอเชียขยับลดลง

ชัยชนะรอบ 2 ของ Trump อาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดกัน เพราะการดำเนินมาตรการ overprotectionism จนเกินไปอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเป็น hard landing

ถ้าหาก Trump ชนะการเลือกตั้งรอบนี้ เรามองว่าผลกระทบอาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่กังวลกัน ประการแรก เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวตามวัฏจักรจากภาคการผลิตที่อ่อนแอ ดังนั้น ถ้าหาก Trump เปิดสงครามการค้ารอบใหม่ทำให้การผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องสะดุดลง และ เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมาอีก จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐตกแบบ hard landing ซึ่งจะส่งผลกระทบกับประชาชนอเมริกัน ประการที่สอง มีบทเรียนจากการดำเนินนโยบายในช่วงปี 2561-2562 แล้วว่าจีนสามารถที่จะลดค่าเงินหยวน (RMB) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และ ลดผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐได้ ดังนั้น เศรษฐกิจจีนอาจจะไม่ถูกกระทบมากนัก

เน้นลงทุนแบบ defensive ก่อนทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐ เพราะโพล Harris VS Trump สูสีมาก

เรามองว่าหาก Harris ชนะการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดทั่วโลกวิ่งขึ้นต่อได้ ในขณะที่ชัยชนะของ Trump อาจจะส่งผลลบในช่วงสั้นต่อตลาดหุ้นเอเชีย และ ตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้นักลงทุนยังคงเน้นลงทุน

 

 

 

 

 

 

 

แบบ defensive ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน เพราะผลการเลือกตั้งยังคู่คี่ก้ำกึ่งกันอยู่ นอกจากนี้ ราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังค่อนข้างตึง เพราะหลังการปรับลดประมาณการ EPS รอบล่าสุด ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มพลังงาน และ ปิโตรเคมี ฉุดให้เป้าดัชนี SET กลางปี 2568 ของเราลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุดจากเดิมที่ 1,560 จุด ซึ่งหมายความว่าเหลือ upside จำกัดในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน เรายังคงสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ปี 2568 เอาไว้เท่าเดิมที่ 32.50 ซึ่งหาก Trump ชนะการเลือกตั้งอาจจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น จากความกังวงลเกี่ยวกับเงินเฟ้อของสหรัฐ และ ความเป็นไปได้ที่ RMB จะอ่อนค่าลง เรามองว่าชัยชนะของ Trump จะทำให้กระแสเงินทุนไหลเข้าหุ้นเอเชีย และ หุ้นไทยน้อยกว่ากรณีที่Harris ชนะการเลือกตั้ง

กลุ่มนิคม, โรงไฟฟ้า และ defensive น่าสนใจ ส่วนหุ้นส่งออก และ บริษัทที่โยงกับจีนอาจถูกกระทบหากสงครามการค้ากลับมาปะทุอีกรอบ

จากการประเมินผลกระทบของการเลือกตั้งสหรัฐต่อหุ้นไทยโดยนักวิเคราะห์ KGI เรามองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และ กลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นสองกลุ่มที่น่าเก็งกำไร โดยกลุ่มนิคมฯ จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนมายัง ASEAN และ ประเทศไทย ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง โดยทั้ง AMATA* และ WHA* จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว ในขณะเดียวกัน กลุ่มโรงไฟฟ้าก็น่าจะได้อานิสงส์เช่นกันแต่จะน้อยกว่ากลุ่มนิคมฯ ซึ่งหาก Harris ได้เป็นประธานาธิบดีมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจ green energy ในต่างประเทศในขณะที่หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่ราคา LNG จะลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ SPP โดยในแง่นี้ เราชอบ GPSC* นอกจากนี้ เรายังมองว่ากลุ่มโรงพบาบาลดูน่าสนใจ ในภาวะที่ตลาดผันผวน

 

เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มแข็งแกร่งใน 3Q67 โดยเราเลือก BH* เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่ม สำหรับผลกระทบในด้านลบที่อาจเกิดขึ้น เรามองว่าสงครามการค้าที่รุนแรงระหว่างสหรัฐ และ จีน อย่างเช่นการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อัตรา 60% อาจจะกดดันบริษัทไทยที่มีรายได้โยงกับจีน อย่างเช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ อาหารและเครื่องดื่ม แต่เรายังมองว่าผลกระทบจะไม่รุนแรง เพราะ ทางการจีน ประกาศว่ารจะเน้นผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ ใช้มาตรการการคลังระยะยาวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ธีมการลงทุนของหุ้นที่น่าสนใจ

AMATA* (แนะนำซื้อ, ราคาเป้าหมาย 27.0 บาท) เราคาดว่า AMATA จะได้อานิสงส์จากแนวโน้มการย้ายฐานการลงทุน โดยยอดขอ BOI ในงวด 9M67 พุ่งสูงขึ้นถึง 42%YoY เป็น 7.22 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี่ 2558 เราคาดว่ายอดขายที่ดิน/ยอดโอนที่ดินจะแข็งแกร่งใน We expect 2H67 ทั้งนี้ ยอดขาย/โอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมักจะสูงในช่วงปลายปี โดย 4Q จะเป็นไตรมาสที่มียอดสูงที่สุด เรามองว่าประมาณการในปัจจุบันของเรายังมี upside อีก

WHA* (แนะนำซื้อ, ราคาเป้าหมาย 6.2 บาท) เป็นอีกหนึ่งบริษัทจะจะได้อานิสงส์จากแนวโน้มการย้ายฐานการลงทุน เราคาดว่ายอดขายที่ดินของ WHA จะทะลุเป้าปีนี้ของบริษัทที่ 2,500 ไร่ (1,042 ไร่ใน1H67, คาดว่าจะได้ประมาณ 750 ไร่ใน 3Q67F และ 750 ไร่ใน 4Q67F) ทั้งนี้ ยอดขายที่ดินในงวด 9M67F น่าจะคิดเป็น 70% ของเป้าปีนี้ของเราที่ 2,200 ไร่ (ทรงตัว YoY) ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะแข็งแกร่งเพราะรายได้หลักจะมาจากยอดขายที่ดินในประเทศไทย ซึ่งมี margin สูง

BH* (แนะนำซื้อ, ราคาเป้าหมาย 319 บาท) ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของเราในกลุ่มโรงพยาบาล โดยประเด็นที่น่าสนใจได้แก่ i) คาดว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ใน 3Q67F ii) ความสามรถในการรักษาระดับ margin ให้สูงที่สุดในกลุ่มได้ iii) แนวโน้มบวกจากแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ที่ภูเก็ตในปี 2569 และ iv) ROE น่าสนใจที่ 30% นอกจากนี้ เรายังคาดว่า BH จะได้อานิสงส์จากการเป็นหนึ่งในตัวเลือกสถานพยาบาลของรัฐบาลคูเวตอีกด้วย

GPSC* (แนะนำซื้อ, ราคาเป้าหมาย 51.0 บาท) ธีมการลงทุนคือ i) โครงการ Avaada จะช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจ clean energy ซึ่งจะช่วยให้ GPSC ขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนได้ตามเป้า ii) คาดว่ากำไรสุทธิจะโต 24%/11% YoY ในปี 2567-68F โดยคาดว่ากำไรใน 3Q67F จะสูงที่สุดใสรอบปีนี้ และ iii) ราคาหุ้นน่าสนใจ (-1.5SD จาก PE เฉลี่ย) โดยมีกระแสเงินสด (free cash flow) แข็งแกร่งจากสัญญา PPA ระยะยาว และ ยังจะได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงด้วย

 

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ… ทางเรามองอย่างไร?

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ… ทางเรามองอย่างไร?

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ… ทางเรามองอย่างไร?