วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ BPP ขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น
วันที่ 12 พ.ย. คาดว่า BPP จะรายงานกำไรสุทธิ 3Q67F น่าผิดหวังที่ 1.1 พันล้านบาท (-47% YoY แต่+14% QoQ) พร้อมกับกำไรหลักที่ 1.0 พันล้านบาท (-69% YoY และ -20% QoQ) (หักกำไรสุทธิจากตราสารอนุพันธ์ออก)
กรณีนี้นับเป็นการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ผิดพลาดของตลาดเกี่ยวกับฤดูร้อนที่คาดว่าจะร้อนแรงที่สุดในรัฐเท็กซัสในสหรัฐฯ โดยที่ กำไรหลัก 9M67F น่าจะลดลงมาอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท (-49% YoY) คิดเป็น 92% ของประมาณการทั้งปีของเรา
Highlights – กำไรลดลงท่ามกลางอากาศที่ร้อนน้อยกว่าปกติและต้นทุนสูงขึ้น
การที่กำไรลดลง YoY จะสะท้อนถึงฤดูร้อนเบาบางในปี 2567 ซึ่งทำให้ spark spread ชะลอตัวลงและปริมาณการขายที่ Temple I & II ลดลงควบคู่กับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการดำเนินงานของ BLCP ชะลอตัวด้วย ส่วนกำไรแย่ลง QoQ อาจเกิดจาก: i) margin ถูกบีบและการปิดซ่อมบำรุงชั่วคราวที่โครงการ Temple I & II เนื่องจากฤดูร้อนที่อ่อนแอและการรบกวนจากพายุทอร์นาโดที่ไม่คาดคิด; ii) การลดลงตามฤดูกาลของ IPP และต้นทุนสูงขึ้นที่ BLCP และ Hongsa แม้ว่าโรงไฟฟ้าในจีน (CHP และ SLG) จะมีการปิดบำรุงรักษาที่ลดลง แต่ Banpu NEXT (ถือหุ้น 50%) น่าจะรายงานผลขาดทุน QoQ สูงขึ้นเนื่องจากกำไรที่ลดลงในส่วนของการซื้อขายพลังงาน กลุ่มแบตเตอรี่ และการกลับรายการของ Fx
แนวโน้มกำไรลดลงท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าในตลาดหลัก ๆ
เราปรับมุมมองระมัดระวังขึ้นต่อแนวโน้มของ BPP ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ท้าทายในจีนและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ขณะที่ BPP มีโครงการหลักอยู่ในสหรัฐฯ (60% ของ EBITDA ของ BPP) และจีน (10%) นับตั้งแต่ต้นปีนี้ โครงการ Temple I&II ของ BPP ในสหรัฐฯ ได้รับผลลบจากฤดูร้อนที่เบาบางลงและการเติบโตที่ช้าลง ส่วนโรงไฟฟ้า CHP ของ BPP ในจีนมีกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำทรงตัว และการเพิ่ม tariff ที่จำกัด ซึ่งเราคาดว่าจะมีผลกระทบเชิงลบมากขึ้นในไตรมาสถัดไป โดยเฉพาะที่ Zouping ซึ่งจัดหาไฟและไอน้ำให้ลูกค้าอุตสาหกรรม Luannan, Zhengding และ SLG อาจเผชิญกับอุปสงค์ลดลงในตลาดซื้อขายพลังงาน ดังนั้น เราปรับลดกำไรหลักปี 2567-69F ลงราว 12-23% (Figure 3) เพื่อสะท้อนปริมาณขายไฟในสหรัฐฯที่ลดลง (Temple I & II) และโรงงานในจีน (CHP และ SLG) ทั้งนี้ เราคาดกำไรหลัก 4Q67F น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยถูกฉุดจากการซ่อมบำรุงตามแผนงานที่วางไว้ (BLCP, Hongsa และ Temple I & II) รวมถึงค่าใช้จ่าย SG&A และดอกเบี้ยสูงขึ้น
Valuation & Action
เราปรับลดคำแนะนำ BPP ลงเป็น “ขาย” จากถือ และขยับราคาเป้าหมายใหม่ไปเป็นปี 2568 ที่ 10.80 บาทจากเดิม 12.40 บาท พร้อมกับการปรับลดกำไรของเราลง โดยมีความกังวลกับการฟื้นตัวไม่ดีของจีนและการเติบโตช้าลงที่สหรัฐฯ ทำให้มีปัจจัยกระตุ้นจำกัดสำหรับ BPP ในขณะที่กำไรปี 2567F ที่แย่ลงมากและแนวโน้ม ROE ที่น่าผิดหวังโดยไม่มีดีล M&A ที่มีนัยสำคัญท่ามกลางกระแส ESG ที่เพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มยิ่งแย่ลงไปอีก แต่อย่างไรก็ดี BPP ยังคงเป็นหุ้นที่มีเสน่ห์ในด้านเงินปันผล โดยให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงราว 5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
Risks
การปิดโรงงานนอกแผน, ปัญหา cost overruns และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย